นํ้ามันพุ่ง ดันมาร์เก็ตแคป พลังงาน-ปิโตร

19 ก.ย. 2562 | 02:40 น.

ราคานํ้ามันดิบโลกพุ่ง รับความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หนุนแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานระยะสั้น ดันมาร์เก็ตแคปเพิ่ม 6.7 หมื่นล้านบาทโบรกฯแนะติดตามระยะเวลากลับมาผลิตของซาอุฯ ชี้ยังมีปัจจัยกดดันจากสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน

หลังจากเกิดเหตุความไม่สงบในตะวันออกกลางที่กลุ่มก่อการร้ายฮูติ (Houthi militias) กองกำลังในเยเมน ได้ใช้โดรน 10 เครื่อง โจมตีใส่โรงนํ้ามัน (Oil Facility) ที่เตรียมรับนํ้ามันที่ขุดออกมาแล้วและเตรียมส่งออกนํ้ามันของซาอุดีิอาระเบีย 2 แห่งจนเกิดไฟไหม้ ทำให้ต้องหยุดผลิตกว่า 50% ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ปรับเพิ่มขึ้นจากราคานํ้ามันดิบโลกปรับขึ้นกว่า 15% โดยปิดวันที่ 16 กันยายน ดัชนีของกลุ่มพลังงานปรับเพิ่มขึ้น 94.15 จุด หรือ 0.37% และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้น 67,113.82 ล้านบาท มาอยู่ที่ 3,914,125.84  ล้านบาท

นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า กรณีการโจมตีโรงนํ้ามันในตะวันออกกลาง เป็นบวกต่อราคาหุ้นทุกตัวของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีในระยะสั้น ซึ่งยังคงต้องติดตามราคานํ้ามันในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด รวมถึงต้องติดตามว่าซาอุดีิอาระเบียจะสามารถกลับมาผลิตนํ้ามันได้เร็วหรือไม่ โดยนํ้ามันจากซาอุดีอาระเบียหายไป 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมดประมาณ 9.8 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานมาก และเป็นปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น เพราะกลุ่มพลังงานยังมีแรงกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจโลกอ่อนแอที่เป็นผลจากสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน


 

อย่างไรก็ตาม ยังคงคาดการณ์ราคานํ้ามันดิบดูไบในปีนี้ อยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งในระยะต่อไปประเด็นที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง การกลับมาผลิตนํ้ามันของซาอุดีอาระเบีย และสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนที่กระทบต่อความต้องการใช้นํ้ามัน อีกทั้งในช่วงนี้ยังไม่ใช่ไฮซีซันต้องรอในช่วงฤดูหนาว หรือช่วงปลายไตรมาส 4 โดยสถาน การณ์ปัจจุบันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานมากนัก ทั้งในส่วนของนํ้ามันและโรงกลั่น ทำให้ไม่ต้องมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มนี้

ในระยะยาวเชื่อว่าความต้องการใช้นํ้ามันจะยังถูกกดดันจากสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้ บริโภคนํ้ามันประมาณ 50% ของการบริโภคทั้งโลก ล่าสุด ราคาปิดอยู่ที่ 64.67 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล และเฉลี่ยนับแต่ต้นปีอยู่ที่ 62.9 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่จะยืนได้นานหรือไม่ขึ้นอยู่กับซาอุฯจะกลับมาผลิตนํ้ามันได้เร็วหรือไม่

นํ้ามันพุ่ง  ดันมาร์เก็ตแคป พลังงาน-ปิโตร

สำหรับภาพราคานํ้ามันดิบที่ฟื้นตัวขึ้นมาแรง และมีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันสูงกว่า 22% ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยมีสัดส่วนมาร์เก็ตแคปในหุ้นพลังงานและปิโตรเคมี รวมกันสูงถึง 25% อีกทั้งยังมีสัดส่วนกำไรสุทธิสูงถึง 36% ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทั้งหมด ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะหุ้นนํ้ามันขนาดใหญ่ เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ.) (PTT), บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) และบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ยังมีแรงหนุนเพิ่ม จากการเริ่มเห็นสัญญาณ Cover short ในสัญญาฟิวเจอร์ส หรือการปิดสถานะ Short Sales หลังจากที่เคยเป็นหุ้นถูก Short sales มากที่สุดอันดับต้นๆ ในเดือนกันยายน 2562

ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ราคานํ้ามันดิบโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น อาจจะส่งผลให้มีความไม่แน่นอนต่อระบบเศรษฐกิจโดยอยากให้นักลงทุนรอติดตามความชัดเจนจากเหตุการณ์โดรนถล่มคลังนํ้ามันที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย รวมถึงศึกษาว่ากลุ่มอุตสาหกรรมไหนที่จะได้รับผลกระทบในด้านบวกและด้านลบ และต้องติดตามว่าจะส่งผลอย่างไรต่อดัชนีหุ้นไทย

ขณะที่ บล.หยวนต้าฯ ระบุว่า นักลงทุนต้องติดตามระยะเวลาการกลับมาผลิตอย่างสมบูรณ์ ในกรณีเลวร้ายต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ อาจทำให้อุปทานนํ้ามันดิบในตลาดตึงตัวมากกว่าคาด รวมถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจถูกนำไปเชื่อมโยงกับการตัดสินใจของสหรัฐฯที่กำลังจะผ่อนคลายการควํ่าบาตรของสหรัฐฯ

 

หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3506 วันที่ 19-21 กันยายน 2562

นํ้ามันพุ่ง  ดันมาร์เก็ตแคป พลังงาน-ปิโตร