อัพจอห์นฯรุกไทย รองรับกลุ่มโรค NCDs

19 ก.ย. 2562 | 11:36 น.

อัพจอห์น สยายปีกปักหมุดสาขาในไทย เล็งนำเข้ายารองรับผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs หลังพบคนไทยกว่า 10 ล้านคนป่วย และเสียชีวิตปีละกว่า 3.5 แสนคน

นายพิชิตชัย จักรไพศาล ผู้จัดการทั่วไป- ประเทศไทยและอินโดไชน่า บริษัท อัพจอห์น (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากการศึกษาพบว่า คนไทย 15% เป็นผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs หรือเท่ากับมีผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs ถึง 10.5 ล้านคน โดยทุกๆ ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตด้วยกลุ่มโรคนี้ 40 คน หรือเทียบเท่ากับคนไทย 1,000 คนเสียชีวิตด้วยกลุ่มโรค NCDs ในแต่ละวัน และจำนวน 3.5 แสนคนที่เสียชีวิตด้วยกลุ่มโรค NCDs ในแต่ละปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่ากลัว อย่างไรก็ตาม มีครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดที่สามารถรอดชีวิตได้หากได้รับการป้องกันและรักษาที่มีประสิทธิภาพ

ขณะที่อัพจอห์น เป็นหนึ่งในผู้นำในการรักษาและป้องกันกลุ่มโรค NCDs โดยการสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมแสดงให้เห็นว่าถึงกลุ่มยารักษาโรคที่มีคุณภาพสูง และการสนับสนุนจากความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ ซึ่งปัจจุบันอัพจอห์น มีกลุ่มยา 20 ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศไทย รวมทั้งการรักษาโรคที่เกี่ยว ข้องกับระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคข้อเสื่อม โรคระบบทางเดินปัสสาวะ โรคทางระบบจิตเวช และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ โดยให้บริการผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และร้านค้ารายย่อย ซึ่งภายในปี 2563 บริษัทได้กำหนดกลยุทธ์ที่จะช่วยให้สามารถเข้าถึงผู้ป่วยได้มาก กว่า 1.5 ล้านคนและเพิ่มขึ้น เป็น 2 ล้านคนในปี 2568 หรือ 33% ของผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs ในประเทศไทยทั้งหมด

อัพจอห์นฯรุกไทย รองรับกลุ่มโรค NCDs

ด้านดร.ซาชิน รุสตากี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา - ประเทศไทยและอินโดไชน่า กล่าวว่า กลุ่มโรค NCDs เป็นหายนะภัยที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและทุพพลภาพ โดยพบว่า 71% ของการเสียชีวิตทั่วโลกหรือจำนวน 41 ล้านคน เกิดขึ้นจากกลุ่มโรค NCDs และเกือบ 85% ของการเสียชีวิตเกิดขึ้นในประเทศเกิดใหม่ (Emerging markets) โดยความรุนแรงของ 4 โรคหลักในกลุ่มโรค NCDs ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคเบาหวาน ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดกลุ่มโรคนี้คือ การกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบอันตราย การไม่ออกกำลังกาย และการสูดดมมลพิษทางอากาศ

ล่าสุดบริษัทได้จัดทำโครงการ “ทำวันนี้ เพื่ออนาคต” (Act Today for Tomorrow) โดยมีวัตถุ ประสงค์ที่จะช่วยให้คนไทยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นพร้อมสุขภาพที่แข็งแรงตลอดทั้งช่วงชีวิต 

หน้า 30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3506 ระหว่างวันที่ 19 - 21  กันยายน 2562