ปล่อยบาทแข็งค่าเกิน มะเร็งร้ายเศรษฐกิจไทย

16 ก.ย. 2562 | 07:36 น.

รายงานพิเศษ โดย บัณฑูร  วงศ์สีลโชติ

รองประธานคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

เงินบาทแข็งค่ามากผิดปกติในช่วงเวลาเพียง 1 ปี บทวิเคราะห์จาก Thomson Reuter ชี้ให้เห็นว่า เงินบาทเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าผิดปกติมากเป็นอันดับ 3 ใน 1 ปี (ดูรูป) กำลังสร้างปัญหาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงเหลือ 2.3% ในไตรมาสที่แล้ว เงินบาทแข็งค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก ส่งผลให้การส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ภายใต้สภาวะการณ์สงครามทางการค้าที่สหรัฐฯมีกับจีน มีบริษัทย้ายฐานออกจากจีนแต่ก็ย้ายมาไทยไม่มากเหมือนที่ไปประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน โดยบริษัทโนมูระจัดให้ไทยได้รับอานิสงส์เป็นอันดับที่ 7 ดีกว่าประเทศฟิลิปปินส์เพียงประเทศเดียว   

ปล่อยบาทแข็งค่าเกิน มะเร็งร้ายเศรษฐกิจไทย

 

ปล่อยบาทแข็งค่าเกิน มะเร็งร้ายเศรษฐกิจไทย

 เมื่อเงินบาทแข็งค่าในขณะที่คู่ค้าอ่อนค่า ความแตกต่างทำให้สินค้าไทยแพงขึ้นมาก เช่นสินค้าไทยที่ส่งออกไปขายจีน ผลกระทบคือสินค้าไทยแพงขึ้น 9.5% (5.8%+3.7%) สำหรับผู้บริโภคในจีน ทั้ง ๆ ที่ราคาที่คิดเป็นเงินบาทราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทำนองเดียวกันกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้ สินค้าไทยแพงขึ้น 13.3% นิวซีแลนด์ 11.1% อังกฤษ 9.8% ฯลฯ เปรียบเหมือนกับเขาเก็บภาษีขาเข้าเพิ่ม           

เรื่องนี้ สินค้าเกษตรไทยย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง เกษตรกรไทยที่ยากจนย่อมขายสินค้าได้ราคาต่ำลงเพราะผู้ส่งออกจะไปกดราคาซื้อเพื่อตนเองจะไม่ต้องขึ้นราคาสินค้าส่งออกมากเกินไป อันจะทำให้ส่งออกไม่ได้ ส่งผลให้เกษตรกรที่เป็นคนจนให้จนลงไปอีก ภาครัฐมักจะบอกให้ผู้ส่งออกใช้วิธีป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่นี่ไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก เพราะการป้องกันทำได้เมื่อรับออเดอร์  แต่หากเงินบาทแข็งค่าไปเรื่อย ๆ ผู้ส่งออกก็ต้องปรับราคาสินค้าที่เป็นดอลลาร์ขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน ทำให้เสียความสามารถในการแข่งขัน

หากเรามาพิจารณาดูสถิติย้อนหลัง 2 ปี 6 เดือนที่ผ่านมา (ดูรูป) จะพบว่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้น 15.12% แข็งค่าแบบต่อเนื่อง ความแตกต่างก็มีมากขึ้นไปอีก และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน จะพบว่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปจริง ๆ

ปล่อยบาทแข็งค่าเกิน มะเร็งร้ายเศรษฐกิจไทย

 

ธนาคารแห่งประเทศไทยอธิบายว่า เพราะไทยได้เปรียบดุลการค้ามากในหลาย ๆ ปี การแข็งค่าของเงินบาทจึงเป็นสิ่งที่ป้องกันไม่ได้  จึงเกิดคำถามว่า จะปล่อยให้แข็งค่าไปอย่างนี้เรื่อย ๆ จนถึงต่ำกว่า 28 หรือ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ?  แล้วทำไมประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ก็ได้ดุลการค้ามากกว่าไทย(ดูรูป) ทำไมสิงคโปร์ยังรักษาค่าเงินให้คงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่เคยอยู่เมื่อ 2 ปี 6 เดือนที่แล้ว  แม้ที่ผ่านมาอาจจะมีแข็งค่า  ในระยะเวลาสั้น ๆ

ปล่อยบาทแข็งค่าเกิน มะเร็งร้ายเศรษฐกิจไทย

 

ประเด็นสำคัญน่าจะเกิดจากนักลงทุนระยะสั้นที่สนใจลงทุนในตลาดพันธบัตรไทยมองเห็นช่องทางทำกำไรจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินอัตราเงินเฟ้อมากเกินไป และมองเห็นกำไรจากค่าเงินบาทที่จะต้องแข็งค่าขึ้นได้ เพราะเจ้าหน้าที่ที่ดูแลค่าเงินบาทไม่สามารถที่จะต้านการขึ้นของค่าเงินบาทได้ เฉพาะกำไรจากพันธบัตรก็มากอยู่แล้ว ยังกำไรจากค่าเงินบาทแข็งค่ากว่า 15% กำไรก็ยิ่งมากขึ้นอีก  ในตลาดพันธบัตร ปี 2560 มีเงินไหลเข้ามาพักในตลาดพันธบัตรไทยรวม 357,183 ล้านบาท   ปี 2561 ต่างชาติไหลเข้าในตลาดพันธบัตรรวม 286,582 ล้านบาท รวมสองปี 643,745 ล้านบาท ปีนี้ต่างชาติไหลออกจากพันธบัตรเพียง -8,737 ล้านบาท ยังคงเหลือสุทธิจำนวนมาก ไม่นานมานี้ นักลงทุนต่างชาติระบุว่าตลาดทุนไทยเป็นแหล่งที่น่าลงทุนก็คงจะส่งเงินเข้ามาอีก ยิ่งน่าห่วงอีก คือสัปดาห์ที่แล้วสหภาพยุโรป(อียู)ลดดอกเบี้ย และเริ่มมาตรการ QE อีก จะมีเงินทุนจำนวนมากที่จะไหลเข้าไทยจำนวนมากทำให้เงินบาทแข็งขึ้นอีกต่อไป

 

แต่หากพิจารณานักลงทุนระยะยาวอย่างที่มาลงทุนผลิตสินค้า หรือที่เรียกว่า FDI (Foreign Direct Investment) เขากลับมองว่าไม่น่าลงทุนในไทย แม้อาจจะมีตัวเลขยื่นขอลงทุนประกาศโดยบีโอไอ แต่ในที่สุดก็ไม่มาลงทุนจริง  ทั้งนี้เพราะค่าแรงงานที่แม้ไม่ต้องปรับขึ้น ก็เหมือนได้ปรับขึ้นตามค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ค่าแรง 325 บาท เดิมเคยคิดแล้วเท่ากับ 9.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจุบันกลายเป็น 10.63 ดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้น 15% อีกทั้งค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าสาธารณูปโภคแม้ไม่ปรับขึ้น ก็ล้วนมีราคาแพงขึ้นเพราะเงินบาทแข็งค่า  ราคาที่ดิน วัสดุก่อสร้างโรงงาน ฯลฯ แม้ไม่ปรับขึ้น ก็ล้วนแพงขึ้นจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ หากผลิตสินค้าแล้ว เงินบาทยังแข็งต่อไป ก็จะเสียหายเพราะส่งออกไม่ได้ ทั้งหมดนี้ ทำให้ไทยน่าลงทุน FDI น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน(ดูรูป) หากไทยยังแสดงให้นักลงทุน FDI เห็นว่าไทยไร้ความสามารถในการดำรงค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ทำให้ผลิตสินค้าแล้วแข่งขันไม่ได้ เขาย่อมเห็นว่าเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจยอมรับได้ จึงเลือกไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนแทน

 

ปล่อยบาทแข็งค่าเกิน มะเร็งร้ายเศรษฐกิจไทย

ผลประโยชน์ที่ดีต่อเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากตกอยู่กับผู้ประกอบการธุรกิจการเงินการธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์ ตลาดพันธบัตร กองทุน ฯลฯ อันเกี่ยวข้องกับคนจำนวนไม่มากที่มักเป็นคนรวย แต่เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตร ผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตสินค้าส่งออก แรงงานจำนวนมาก ล้วนได้รับผลกระทบทางลบ บาทแข็งย่อมส่งผลให้ผู้ส่งออกโดยเฉพาะสินค้าเกษตรต้องกดราคาสินค้าเกษตรกรเพื่อจะไม่ต้องขึ้นราคาสินค้าส่งออกมากนัก อีกทั้งยังไม่ต้องการเสียลูกค้าต่างประเทศไป ผลเสียคือคนจนยิ่งจน เป็นการเร่งความต่างระหว่างคนรวยกับคนจนให้มีมากขึ้น  (promoting inequality)  ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้รับการจัดอันดับไว้เป็นอันดับ 1 สำหรับประเทศที่มีความไม่เสมอภาคระหว่างคนรวยและคนจนสูงที่สุดในโลก โดย Credit Suisse Global Wealth Report ปี 2017ไทยเคยถูกจัดเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ(inequality) อยู่อันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและอินเดีย แต่ปี 2018 ไทยแซงมาเป็นอันดับ 1

 

ปัจจุบันพบว่า คนไทยเพียง 1%  หรือประมาณ 5 แสนคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินในประเทศมากกว่า 66.9% ขณะที่คนไทยที่เหลือ 99% ประมาณ 60 ล้านคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เหลือรวมกันเพียง 33.1%  และคนไทยที่ยากจนที่สุด 10% หรือประมาณ 5 ล้านคนไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย มีแต่หนี้สิน คนไทย 25 ล้านคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินในไทยเพียง 1.7% ขณะที่อีก 35 ล้านคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินเพียง 5% เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรม ค่าเงินบาทเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เรื่องความเหลื่อมล้ำมีมากขึ้นไปอีก

ปํญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนได้บดบังปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งเกินไปเป็นระยะเวลายาวนาน รัฐบาลไม่ได้ให้ความสนใจ รัฐบาลจึงควรหันมาให้ความสนใจเสียแต่เดี๋ยวนี้ เพราะหากปล่อยไปปัญหาอาจจะลุกลามจนความเสียหายจะมีมาก เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องทำให้เห็นได้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถจัดการแก้ไขเรื่องนี้เพียงลำพัง รัฐบาลควรออกมาตรการมาช่วยเช่น การส่งเสริมให้เอกชนไทยลงทุนมากขึ้นในการนำเครื่องจักรใหม่เข้ามาแทนเครื่องจักรเก่า  ทำให้เกิดการนำเข้า ให้ยกเว้นภาษีทุกรูปแบบในเรื่องนี้ ให้เอกชนไทยที่เพิ่มการลงทุนได้สิทธิในยกเว้นภาษีเงินได้  ส่งเสริมให้เอกชนไทยนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ ภาครัฐต้องเร่งลงทุนในด้านสาธารณูปโภคโดยเร่งด่วน นำเข้ามากขึ้น ฯลฯ ป้องกันไม่ให้เงินบาทแข็งค่าไปเรื่อย ๆ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เปรียบได้กับมะเร็งที่กำลังลุกลามขยายออกไปในร่างกายทำร้ายอย่างไม่รู้จักหยุด