สทนช.ประชุมหน่วยเกี่ยวข้อง และผู้ว่า 17 จังหวัดภาคเหนือ พิจารณาแนวทางและจัดทำแผนงานเพื่อแก้ไขและบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ภาคเหนือ ย้ำต้องทันใช้งานภายใน 1-2 เดือนนี้ เน้นเพิ่มพื้นที่เก็บน้ำที่ท่วมขังไม่สูญเปล่า-ระบายทิ้งน้อยสุด พร้อมรองรับฝนใหม่ก่อนหมดฤดู
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการหารือพิจารณาแนวทางและจัดทำแผนงานเพื่อแก้ไขและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเงื่อนไขการพิจารณาโครงการ 3 ประเด็นหลัก คือ 1.เป็นโครงการที่มีความพร้อมดำเนินการแล้วเสร็จในระยะ1-2 เดือนนี้ เนื่องจากเป็นโครงการระยะสั้น มีความจำเป็นเร่งด่วน หากไม่ทำจะเกิดความเสียหายหรือได้รับผลกระทบกับประชาชนได้ รวมถึงยังเป็นโครงการที่สามารถเก็บกักน้ำในพื้นที่ที่ประสบน้ำท่วมขังในขณะนี้เก็บไว้ได้ และรองรับปริมาณฝนที่จะตกลงมาเพิ่มได้ด้วย 2.โครงการต้องไม่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณปี 2563 ที่ได้รับ และ 3.โครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ทัน เพื่อก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ 2562 ในเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม จากการหารือร่วมกันเบื้องต้นในกรอบแนวทางครั้งนี้แล้ว ทุกหน่วยงานจะกลับไปพิจารณาแผนงานโครงการที่จเสนอมาอีกครั้ง โดยในแต่ละโครงการหน่วยงานต้องแจ้งจังหวัดในพื้นที่รับทราบด้วย และให้กระทรวงมหาดไทยประสาน ตรวจสอบ จากนั้น สทนช.จะนำผลสรุปแผนงานโครงการและวงเงินงบประมาณที่ได้หารือร่วมกันแล้วจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง เสนอ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาภายในวันจันทร์นี้
(9 ก.ย.62) ก่อนเสนอสำนักงบประมาณพิจารณากลั่นกรองเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)อนุมัติ เพื่อให้ทันระยะเวลาการก่อหนี้ผูกผันในปีงบประมาณ 2562 ตามลำดับขั้นตอนโดยเร่งด่วนต่อไป
สำหรับแผนงานโครงการเร่งด่วนที่หน่วยงานนำเสนอ อาทิ การจัดทำแก้มลิง ฝาย การปรับปรุงซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำที่ได้รับผลกระทบจากพายุ โดยกรมชลประทาน น้ำบาดาลเพื่อการเกษตร น้ำบาดาลเพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุน โดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล การขุดลอกสระ คลอง ห้วย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
เป็นต้น
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เข้าร่วมประชุมหารือประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และสำนักงบประมาณ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีจากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ผลกระทบจากอุทกภัย จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดสุโขทัย โดยเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมทั้งให้บูรณาการข้อมูลแผนงานโครงการที่จำเป็นต้องดำเนินการทันทีอย่างเร่งด่วน