พาณิชย์รับลูก ‘จุรินทร์’ เร่งลุยงานครึ่งปีหลัง

03 ก.ย. 2562 | 07:55 น.

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สนองนโยบาย ‘จุรินทร์’ ลุยงานครึ่งหลังปี 2562 เร่งขับเคลื่อนการเจรจาการค้าในประเด็นสำคัญให้เห็นผลโดยเร็ว ทั้งสรุป RCEP ให้ได้ในปีนี้ เร่งเจรจาเอฟทีเอไทย-ตุรกี ไทย-ปากีสถาน และไทย-ศรีลังกา ฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู หาข้อสรุปการเจรจาความตกลง CPTPP และเร่งลงพื้นที่ใช้ความตกลงทางการค้าดันสินค้าเกษตรและสินค้าท้องถิ่นออกสู่ตลาดโลก

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า หลังจากกรมฯ ได้รับนโยบายจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กรมฯได้กำหนดแผนงานสำหรับครึ่งปี 2562 โดยมีประเด็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ ประกอบด้วย เร่งหาข้อสรุปการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ให้ได้ในปี2562ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยจะเป็นประธานการประชุมระดับรัฐมนตรีอาร์เซ็ป ที่จะจัดขึ้นในระหว่าง 7-8 กันยายน 2562 ที่กรุงเทพฯ เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาให้สมาชิกอาร์เซ็ปทั้ง 16 ประเทศเพื่อให้สามารถหาข้อสรุปในประเด็นที่ยังมีความเห็นและท่าทีที่ต่างกัน เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กลไกการระงับข้อพิพาท การลงทุน การเคลื่อนย้ายบุคคล เป็นต้น

พาณิชย์รับลูก ‘จุรินทร์’  เร่งลุยงานครึ่งปีหลัง

เร่งสานต่อการเจรจาความตกลงเอฟทีเอที่ค้างอยู่ให้คืบหน้า ซึ่งไทยมีกำหนดประชุมกับปากีสถานรอบต่อไปในเดือนตุลาคมนี้และหารือกับตุรกีในเดือนธันวาคม 2562 ส่วนศรีลังกาอยู่ระหว่างรอส่งสัญญาณความพร้อม หลังการปรับคณะเจรจาของศรีลังกา  และเตรียมฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู โดยคาดว่าผลการศึกษาและการรวบรวมความเห็นของภาคส่วนต่างๆของไทยจะเสร็จในปลายเดือนตุลาคมนี้หลังจากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและคณะรัฐมนตรีพิจารณา

รวมถึงการหาข้อสรุปเรื่อง CPTPP เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา กรมฯ ได้จ้างศึกษาประโยชน์และผลกระทบต่อไทยในการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP)รวมทั้งได้จัดหารือเพื่อระดมความเห็นผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนทั่วประเทศ ซึ่งกรมฯจะนำสรุปผลการศึกษาและผลการระดมความเห็นเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป และ การเจรจาเอฟทีเอกับสหราชอาณาจักร ภายหลังเบร็กซิท (Brexit) ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างหารือกับสหราชอาณาจักรเรื่องการจัดทำข้อมูลนโยบายการค้าและศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) ที่จะทำเอฟทีเอระหว่างกัน

 

“กรมฯ เล็งเห็นว่าความคืบหน้าในเรื่องเหล่านี้ จะมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเปิดตลาดและขยายส่วนแบ่งการค้าของไทยในตลาดโลกโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญวิกฤติและความท้าทายจากการที่หลายประเทศมีการใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างกัน” นางอรมน กล่าว

นอกจากนี้กรมยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการเจรจาได้สูงสุด รวมถึงรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้ กรมฯ จึงเดินหน้าจับมือกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น สภาเกษตรกรแห่งชาติ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ เป็นต้น เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความตกลงเอฟทีเอ ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ ผลกระทบ และการปรับตัวของไทยต่อไป โดยจะลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ และเน้นสินค้าในพื้นที่ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสำคัญของไทย เช่น ข้าว ยาง มันสำปะหลัง ผัก ผลไม้ โคนม โคเนื้อ และอาหารแปรรูปต่างๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในปี 2561 การค้าไทยและกับประเทศคู่เจรจา FTA 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ มีมูลค่ากว่า 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากปีก่อนหน้ากว่า 11%  คิดเป็นสัดส่วน60%  (หรือ 2 ใน 3) ของการค้าไทยกับโลก ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. 2562 มีมูลค่าการค้ากับ 18 ประเทศเอฟทีเอ 202 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 88 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 87พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยสินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้า เช่น น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็ก และเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น