“สนธิรัตน์” จี้กฟผ.ปรับตัว ลดขนาดองค์กร-ดึงร่วมทุนโรงไฟฟ้าชุมชน

28 ส.ค. 2562 | 08:58 น.

“สนธิรัตน์”มอบ 3 นโยบายหลัก จี้กฟผ.เร่งปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี  พร้อมลดขนาดองค์กรให้เล็กลง ดึงบริษัทลูก กฟผ.ร่วมทุนสร้างโรงไฟฟ้าชุมชน ที่จะมีรูปแบบการร่วมทุนออกมาใน 1-2 เดือนนี้ และเร่งผลักดันองค์กรสู่การเป็นศูนย์กลางไฟฟ้าอาเซียน ทั้งผลิตไฟฟ้าและเทรดเดอร์ ส่วนการแก้ปัญหาค่ารื้อถอนแท่นปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณและบงกช  เดินหน้าแล้ว มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแล

 

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ว่า ได้มอบ 3 นโยบายหลัก ให้ กฟผ.ไปเร่งดำเนินการ ได้แก่ การปรับโครงสร้างองค์กรให้มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปยุคเทคโนโลยี เนื่องจากการเป็นองค์กรใหญ่ จะส่งผลให้การขับเคลื่อนงานช้า พร้อมกันนี้ต้องปรับความคิด นำความเข้มแข็งขององค์กรที่มีอยู่เดิม มาเพิ่มขีดความสามารถให้แข่งขันสู้กับเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ กฟผ.ยังคงเป็นองค์กรหลักด้านไฟฟ้าประเทศต่อไป

 

อีกทั้ง ต้องการให้กฟผ.เข้าไปมีส่วนร่วมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ตามนโยบายพลังงานเพื่อทุกคน (Energy for all) โดยบริษัทในกลุ่ม กฟผ.สามารถเข้าไปร่วมลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าชุมชน ในโครงการ “ 1 ชุมชน 1 พลังงานไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์” ซึ่งจะทำให้ชุมชนมีโอกาสผลิตไฟฟ้าใช้เอง และเหลือขายเข้าระบบสร้างรายได้และเกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนให้กับชุมชน ทำให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง โดยในอีก 1-2 ข้างน้ คาดว่าจะเปิดตัวโครงการโรงไฟฟ้าชุนดังกล่าวได้ ภายหลังจากผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ช่วงกลางเดือนกันยายน 2562นี้ ซึ่งขณะนี้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.)อยู่ระหว่างร่างกรอบรายละเอียดดังกล่าวเสนอมา  เบื้องต้นมีการเสนอให้ชุมชนมีสัดส่วนในการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าชุมชน 30% และเอกชน 70 %      

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์  

                        นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

นอกจากนี้ ในฐานะ กฟผ.เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าป้อนความต้องการให้กับประเทศแล้ว ยังจะต้องทำหน้าที่ในการเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้าหรือเทรดเดอร์ด้วย เพื่อให้ไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานของอาเซียน ที่จะมีการซื้อขายไฟฟ้าผ่านประเทศกัน ซึ่งจะช่วยให้กฟผ.มีรายได้จากการซื้อขายไฟฟ้าผ่านสายส่งได้อีกทางหนึ่งด้วย หากไม่ดำเนินารในส่วนนี้ก็จะทำให้จีน และเวียดนาม แซงหน้าประเทศไทย

“สนธิรัตน์” จี้กฟผ.ปรับตัว ลดขนาดองค์กร-ดึงร่วมทุนโรงไฟฟ้าชุมชน

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้ากรณีบริษัท เชฟรอน ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานหลักแหล่งเอราวัณ และบริษัท โททาล ซึ่งเป็นผู้ร่วมลงทุนในแหล่งบงกช ในอ่าวไทยได้ยื่นหนังสือเตือน (โนติส) ถึงกระทรวงพลังงานขู่ฟ้องอนุญาโตตุลาการ หากไม่ได้รับความชัดเจนเรื่องการวางหลักประกันการรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมที่จะหมดอายุสัมปทานในช่วงปี 2565-2566 ว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูปัญหาดังกล่าวแล้ว โดยมีนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวให้จบโดยเร็ว เพื่อให้การเดินหน้าผลิตปิโตรเลียมในแหล่งเอราวัณและบงกชเกิดความต่อเนื่องหลังจากหมดสัญญาสัมปทานในปี 2565 และ 2566 

“สนธิรัตน์” จี้กฟผ.ปรับตัว ลดขนาดองค์กร-ดึงร่วมทุนโรงไฟฟ้าชุมชน

 

ขณะนี้การดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวเดินหน้าไปได้ไกลแล้ว และเป็นมีแนวโน้มที่ดี ซึ่งหากมีความชัดเจนกระทรวงพลังงานจะเปิดเผยให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ยืนยันว่าตัวเองจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ดีที่สุดและประโยชน์จะต้องตกถึงประเทศชาติเป็นสำคัญ

 

“ปัญหาค่ารื้อถอนแท่นปิโตรเลียม เป็นเรื่องทางกฎหมาย ซึ่งต้องการความร่วมมือกันทั้ง 2 ฝ่าย เพราะปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แต่ตอนนี้จะต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้การผลิตปิโตรเลียมในแหล่งดังกล่าวเกิดความต่อเนื่อง และราบรื่นในช่วงการเปลี่ยนผ่านหลังหมดสัญญาสัมปทานให้ผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาดำเนินการ กระทรวงพลังงานจะดำเนินการให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของประเทศต่อไป 

“สนธิรัตน์” จี้กฟผ.ปรับตัว ลดขนาดองค์กร-ดึงร่วมทุนโรงไฟฟ้าชุมชน