“สนธิรัตน์”ยันส่งเสริม ใช้บี 10 และบี 20 ได้ผล ดันราคาปาล์มทะลุ 3 บาท/กก.
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศขณะนี้ ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากมาตรการของกระทรวงพลังงานที่เร่งส่งเสริมให้รถยนต์ใช้น้ำมันดีเซล B10 และ B20 ทำให้โรงสกัดเร่งรับซื้อผลผลิตจากพี่น้องชาวสวนปาล์มมากขึ้น ดูดซับปริมาณผลปาล์มดิบที่ล้นตลาดในเดือนสิงหาคม นำไปสู่การปรับตัวของราคาปาล์ม ที่เคยลดเหลือ 2.00 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นมาอยู่ที่กว่า 3.00 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว
“ล่าสุดราคาปาล์มน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณดีที่ต่อพี่น้องเกษตรกรสะท้อนว่ามาตรการของกระทรวงพลังงานและหน่วยงานอื่นๆ ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจังนั้นประสบผลสำเร็จ ทำให้ราคารับซื้อของโรงสกัดในพื้นที่เพาะปลูกใหญ่ๆ ของภาคใต้ ทั้งสุราษฎร์ธานี กระบี่ และชุมพร ขยับตัวสูงขึ้นและเชื่อว่าราคาจะไปต่อกว่านี้ได้อีก”
ทั้งนี้ ราคารับซื้อปาล์มทะลาย (18%) ของโรงงานในพื้นที่ขยับสูงต่อเนื่องโดยเฉพาะแหล่งเพาะปลูกจังหวัดกระบี่ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2562 อยู่ที่เฉลี่ย 3.00-3.40 บาทต่อกิโลกรัม สูงขึ้นจากราคา ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2562 ที่ 2.20-2.80 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนพื้นที่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ราคาปัจจุบันก็ปรับมาอยู่ระดับ 3.00-3.30 บาทต่อกิโลกรัมเช่นเดียวกัน
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานแจ้งเพิ่มเติมว่า นายสนธิรัตน์ เตรียมที่จะลงพื้นที่แหล่งปลูกปาล์มน้ำมัน เพื่อขับเคลื่อนมาตรการรับซื้อผลผลิตในช่วงเดือนกันยายนนี้ โดยจะมีการพบปะเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องชาวสวนปาล์มและสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่ายว่ารัฐบาลจะมุ่งมั่นแก้ปัญหาราคาน้ำมันปาล์มอย่างเป็นระบบ ผลักดันเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวนให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เพื่อให้ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยก่อนสิ้นปีนี้จะผลักดันให้คณะรัฐมนตรีประกาศใช้มาตรฐานน้ำมันไบโอดีเซลใหม่ จากปัจจุบันบังใช้ดีเซลบี 7 เป็นมาตรฐานบังคับใช้ดีเซลบี 10 และให้น้ำมันดีเซลบี 7 และดีเซลบี 20 เป็นน้ำมันทางเลือก เพราะหากบังตับใช้ดีเซลบี 10 ได้ จะทำให้ปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบหรือซีพีโอ ปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลย์ได้ จากปัจจุบันที่สต็อกยังมีปริมาณมากอยู่ ซึ่งจะส่งผลต่อเถียรภาพของราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นได้ถึง 4 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้รัฐบาลไม่ต้องนำเงินมาชดเชยส่วนต่างราคาที่ประกันรายได้ที่ 4 บาทต่อกิโลกรัม
