รองนายกรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานสังกัดดูแลเอสเอ็มอีโดยเฉพาะรายเล็กช่วงเศรษฐกิจถดถอย ชี้เป็นกลุ่มแรกที่จะได้รับผลกระทบ พร้อมตั้งศูนย์ไอซีทีให้เพียงพอความต้องการ ด้าน ธพว. ขอเงิน 2 หมื่นล้านช่วยคนตัวเล็กรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการมอบนโยบายให้กับผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า เวลานี้ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าใดนัก โดยเศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย เพราะฉะนั้นเรื่องเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตฯที่จะต้องเข้าไปสนับสนุนก็คือเรื่องการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางถึงขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี (SMEs) เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรก โดยมองว่าเอสเอ็มอีไม่ใช่มีเพียงแค่ในอุตสาหกรรม แต่วิสาหกิจของเกษตรก็คือเอสเอ็มอีเกษตร
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานในสังกัดต้องเร่งช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการคนตัวเล็กหรือเอสเอ็มอี โดยเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นสำคัญให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มมากขึ้น โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ ธพว. (SME D Bank) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รวมถึงธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องร่วมมือกันทำงานเพื่อให้การเข้าไปช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“การมีกองทุนขึ้นมาจะต้องให้แน่ใจว่าเอสเอ็มอีคนตัวเล็กจะเข้าถึงสินเชื่อ เพราะกลุ่มผู้ประกอบการดังกล่าวมักจะเข้าไม่ถึง จะต้องเข้าไปช่วยเหลืออย่างมาก โดยเฉพาะรายเล็กที่อ่อนแอมาก ต้องการให้ช่วยดูเป็นพิเศษ เพราะผู้ประกอบการดังกล่าวนี้ไม่ค่อยมีที่พึ่งในการเข้าถึงแหล่งเงิน”
ส่วนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ให้จัดศูนย์ไอทีซีให้เพียงพอกับความต้องการใช้บริการของเอสเอ็มอี ซึ่งปัจจุบัน กสอ.มีศูนย์ไอซีที รวม 105 แห่ง หากงบประมาณไม่เพียงพอก็ให้ของบประมาณเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ จะต้องมุ่งการพัฒนาให้เชื่อมโยงกับเกษตรแปรรูปเพิ่มมูลค่าและธุรกิจบริการโดยเฉพาะการขับเคลื่อนไปสู่คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเศรษฐกิจชีวภาพเพื่อก้าวสู่ศูนย์กลางภูมิภาคหรือ Bio Hubซึ่งเรื่องนี้ขอให้บีโอไอนำปรับใช้เป็นนโยบายใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
นายสมคิด ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาพื้นที่จัดตั้งสำนักงานไทยแลนด์ ไซเบอร์พอร์ท (Thailand Cyberport) ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้เป็นอีกศูนย์ในการช่วยส่งเสริมและพัฒนาสตาร์ทอัพไทย รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้เผยแพร่เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยจะมีการลงนามความร่วมมือในการลงทุนของภาคเอกชนซึ่งเบื้องต้นมีการระดมเงินทุนในการจัดตั้งประมาณ 635 ล้านบาท
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีมอบนโยบายให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ที่ขณะนี้มีสัดส่วนมากถึง 90% ของกิจการทั้งหมดในประเทศไทย ทั้งด้านการพัฒนาต่อยอดการทำธุรกิจผ่านการให้องค์ความรู้ ช่วยเหลือจัดงบประมาณต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ด้านอุตสาหกรรมเกษตรถือเป็นแนวนโยบายหลักที่จะส่งเสริมให้ก้าวเข้าสู่เกษตรแปรรูปโดยเชื่อมโยงพื้นที่เป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงผ่านมาตรการสนับสนุนของบีโอไอต่อไป
ขณะที่ กสอ. ซึ่งทำหน้าที่ส่งเสริมเอสเอ็มอี แต่ได้รับงบประมาณค่อนข้างน้อยนั้น เรื่องนี้รองนายกรัฐมนตรีต้องการให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องมีการชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจ จนนำไปสู่การได้รับการจัดสรรงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้นต่อไป โดยเบื้องต้นได้ของบประมาณปี 63 กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาและดำเนินโครงการใหม่ๆ หลังจากปีที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้รับงบประมาณเพียง 5 พันล้านบาท
นายพงชาญ สำเภาเงิน รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า เมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยธนาคารของรัฐจึงต้องมีบทบาทในการเข้าไปช่วยเหลือ โดย ธพว. ได้มีการนำเสนอเพื่อขอเงินกองทุนเพิ่มประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการของสำนักงานเศรรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอคนตัวเล็กรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1% ระยะเวลาในการผ่อนชำระ 7 ปี ซึ่งคาดว่าหากได้รับการอนุมัติเงินกองทุน จะใช้ระยะเวลาในการดำเนินโครงการเพื่อปล่อยสินเชื่อได้หมดภายในสิ้นปีนี้
ส่วนของ ธพว. เองมีวงเงินสินเชื่อของธนาคารอยู่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการโลคอลอีโคโนมี่ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3% ในช่วง 3 ปีสำหรับนิติบุคคล หากเป็นบุคคลธรรมดาอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 5% อีกทั้งยังมีสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีขนาดกลางประมาณ 2 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ยประมาณ 5.875% ในช่วง 3 ปีแรก ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล (NPLs) นั้น ตั้งแต่ปี 58 ธนาคารปล่อยสินเชื่อตามวัตถุประสงค์ พร้อมกับให้ความรู้คู่ทุนกับผู้ประกอบการ ทำให้เอ็นพีแอลอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำ
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะการวางหลักประกัน ส่วนใหญ่ยังไม่มีหลักประกันพอที่จะวางค้ำประกันเงินกู้และปัญหาเครดิตบูโร จึงต้องการให้กระทรวงอุตฯผลักดันสถาบันการเงินของรัฐเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้กับเอสเอ็มอีด้วย