ผู้เชี่ยวชาญชี้การออกแบบเมืองต้องคำนึงถึงวิถีชีวิต และความต้องการของคนเมือง แม้กระทั่งทางด้านเทคโนโลยี ชี้เป้าหมายทางธุรกิจของบริษัทชั้นนำโลกจะไม่ใช่ผลกำไรอีกต่อไป แนะธุรกิจควรเริ่มจากการปรับวิธีการตั้งคำถามใหม่ โดยตั้ง ความหวัง ที่ต้องการอยากจะเห็น เพื่อใช้เป็นตัวชี้นำให้เห็นทิศทางที่ต้องการจะไปในอนาคต
ศาสตราจารย์ดร.แบรี่ คลาทซ์ (Professor Dr. Barry Katz, IDEO fellow, consulting Professor of mechanical Engineering, Stanford University) จากประเทศสหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมงาน TMA Top Talk และนำเสนอแนวคิดภายใต้เรื่อง “Design with a Purpose” ว่า การออกแบบเมืองก็จะต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตและความต้องการของผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองนั้นๆ เป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องออกแบบให้ผู้คนมีความสะดวกในการเดินทาง การขนย้ายสิ่งของต่างๆ หรือแม้แต่การจับจ่ายใช้สอย สำหรับการออกแบบทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเช่น การออกแบบปัญญาประดิษฐ์ เราก็จะต้องใช้แนวคิดการออกแบบที่คำนึงถึงความต้องการของมนุษย์เป็นหลัก และควบคุมดูแลออกแบบปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ก่อนที่มันจะพัฒนาตัวเองจนกระทั่งมาออกแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์
“มนุษย์จึงต้องออกแบบชีวิตของตนเองว่าต้องการใช้ชีวิตอย่างไร ซึ่งในปัจจุบันยังมีการออกแบบแม้กระทั่งการตายว่าเราต้องการที่จะตายอย่างไรอีกด้วย ทั้งนี้ การออกแบบที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การออกแบบอนาคต ซึ่งเราควรออกแบบอนาคตที่เน้นการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่จะสามารถช่วยสร้างความยั่งยืนของโลกใบนี้ได้ต่อไปด้วย”
ศ.สเตฟาน กาเรล์ลี่ (Professor Stephane Garelli Founder of IMD World Competitiveness center ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวในหัวข้อ"The New Competitiveness Agenda: Designing a Compatible Future for All" TMA ว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของบริษัทชั้นนำระดับโลกจะไม่ใช่เรื่องของการทำกำไรอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น จึงต้องกลับมาคิดว่าโมเดลทางธุรกิจต่อไปของแต่ละบริษัทควรจะเป็นอย่างไร โดยบริษัทด้านเทคโนโลยีจะมีอิทธิพลสร้างผลกระทบต่อภาพรวมทั้งโลกมากขึ้น และเกิดเป็นคำถามเกี่ยวกับกระบวนการทางความคิด (mindset) ที่ต้องปรับปรุง เพราะคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการบริโภคอย่างรวดเร็ว ธุรกิจจึงต้องกลับมาคิดทบทวนเกี่ยวกับกระบวนการดำเนินธุรกิจและศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคใหม่
มร.มาร์ติน วีซอฟสกี้ (Mr. Martin Wezowski Chief designer & futurist and Chief innovation office, SAP's Innovation center network ประเทศเยอรมนี ย้ำว่า ไม่มีใครรู้ถึงโลกในอนาคตได้ ดังนั้นการเตรียมตัวหรือรับมือกับอนาคต ธุรกิจควรเริ่มจากการปรับวิธีการตั้งคำถามใหม่ โดยตั้ง ความหวัง ที่ต้องการอยากจะเห็น เพื่อใช้เป็นตัวชี้นำให้เห็นทิศทางที่ต้องการจะไปในอนาคต และใช้จินตนาการในการปรับกระบวนการคิดและวิธีการดำเนินชีวิตในอนาคต โดยในการวาดภาพอนาคตที่ต้องการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกระดับ จึงมีความจำเป็นที่ต้องดึงประชาชนในทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการระดมความคิด ยิ่งมีความหลากหลายมากเท่าไหร่ จะยิ่งช่วยให้เกิดไอเดียใหม่เพิ่มมากขึ้น และค่อยๆ หาวิธีลงมือทำให้เกิดขึ้นทีละจุดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ และเชื่อมโยงจุดเหล่านั้นให้เป็นเส้นทางที่ต้องการ
ในแง่การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้น มร.มาร์ติน มองว่าการทำงานร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายจะเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ทั้งการนำ Machine learning และ AI มาช่วยในการทำงานที่มีลักษณะเป็นรูทีนหรืองานที่มนุษย์อาจตรวจสอบได้ไม่ทั่วถึง โดยในแง่ของการใช้พลังงาน แม้ว่าในช่วงแรกการใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นอาจบริโภคพลังงานมากกว่า แต่จะค่อยๆ ลดลงไปตามลำดับ
ขณะที่ ศ.ดร.แบร์รี่ เอ็ม คาท์ซ (Professor Dr. Barry M. Katz) ให้แง่มุมของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ย่อมก่อให้เกิด ผู้แพ้ ในสังคม หรือเป็นกลุ่มคนที่ถูกเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ในการทำงาน ฉะนั้นธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม และพัฒนาศักยภาพบุคลากรในองค์กรให้มีทักษะที่สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยี นอกจากนี้ ธุรกิจยังต้องตรวจสอบสถานะการใช้พลังงานของเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเริ่มเห็นว่ามีการนำฟีดแบคของการใช้พลังงานมาเป็นข้อมูลในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งในเรื่องรถยนต์แบบไร้คนขับที่อาจนำมาใช้กับการขนส่งสาธารณะแทนที่รถยนต์ส่วนบุคคล
“ตลอดระยะเวลา 55 ปี TMA มุ่งเน้นให้ความสำคัญด้านการพัฒนาทักษะผู้นำ การบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อเตรียมพร้อมให้องค์กรไทยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต รวมถึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดความร่วมมือทุกภาคส่วนในการช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป”