พันธกิจ เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ บริหารทรัพยากรน้ำและชุมชน สร้างความยั่งยืน
การดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม กลายเป็นหัวใจสำคัญของผู้ประกอบการที่ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการซึ่งสอดคล้องกับการทำงานของ “เนสท์เล่” ในฐานะผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับ “น้ำ” ที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบริหารจัดการน้ำอย่างถูกต้อง จนล่าสุด เนสท์เล่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก Alliance for Water Stewardship (AWS) องค์กรพันธมิตรด้านการจัดการและดูแลทรัพยากรน้ำระดับโลก จากระบบการจัดการและดูแลทรัพยากรน้ำ บริเวณชุมชนรอบโรงงานน้ำดื่มของเนสท์เล่ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอยุธยา
“ลูก้า คิโอด้า” ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่(ไทย) จำกัด บอกว่า มาตรฐาน AWS เป็นมาตรฐานที่กำหนดให้การดำเนินธุรกิจขององค์กร ต้องมีความเข้าใจถึงปัญหาและรับผิดชอบต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในบริเวณแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเกณฑ์การพิจารณามาตรฐาน AWS ทั้งในระดับองค์กรและบริเวณแหล่งน้ำโดยรอบ ประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลัก คือ 1.การรักษาสมดุลของทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ไม่ให้เกิดความขาดแคลน 2.การดำรงรักษาสภาพที่ดีของทรัพยากรน้ำ 3.การจัดการทรัพยากรน้ำที่ดี และ 4.การอนุรักษ์ไว้ซึ่งความสมบูรณ์ของพื้นที่แหล่งน้ำสำคัญ
จากปริมาณน้ำในโลกทั้งหมด มีเพียง 1% เท่านั้น ที่สามารถนำมาบริโภคได้ ขณะเดียวกันปริมาณน้ำที่มีอยู่เหล่านี้ ก็มีปริมาณลดลงเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเนสท์เล่จึงกำหนดพันธกิจหลักของตัวเองในการดูแลทรัพยากรน้ำควบคู่กับการดูแลสังคมและชุมชนอย่างเข้มข้น และประกาศเป้าหมายที่จะทำให้ทุกโรงงานของกลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ทั่วโลก ซึ่งมีอยู่กว่า 80 แห่ง ได้รับการรับรองมาตรฐาน AWS ให้สำเร็จภายในปี 2025 โดยขณะนี้มีโรงงานที่ได้รับมาตรฐานแล้ว 21 แห่ง
แนวทางการร่วมคิดร่วมบริหารจัดการแหล่งน้ำของเนสท์เล่ กับการร่วมมือกับชุมชนและพันธมิตร คือ การนำสิ่งที่เนสท์เล่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ถ่ายทอดให้กับเยาวชน และคนในชุมชน เพื่อนำไปพัฒนาต่อ พร้อมทั้งมีการเฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพน้ำ โดยนำน้ำจากโรงเรียนและชุมชน ส่งไปตรวจสอบถึงศูนย์วิจัยที่ประเทศฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้น้องๆ ในโรงเรียนรอบๆ โรงงานทั้งที่อยุธยา และสุราษฎร์ธานี รู้จักการทำให้น้ำเสียกลับมาเป็นน้ำสะอาด
อีกหนึ่งแนวทางความรับผิดชอบ คือ การทำงานร่วมกับภาคเอกชนและรัฐบาล ผลักดันให้มีการนำขวดพลาสติกบรรจุเครื่องดื่มที่ทำจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล หรือ Recycled PET (rPET) กลับมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์บรรจุอาหารและเครื่องดื่มได้ใหม่ เพื่อเป็นการลดปริมาณการใช้พลาสติกผลิตใหม่ ลดปัญหาขยะพลาสติกและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลก โดยขณะนี้กำลังเร่งศึกษาข้อมูล และร่วมกับสถาบันการศึกษาทำการวิจัย เพื่อสร้างการรับรู้และให้ข้อมูลสร้างความเชื่อมั่นกับภาครัฐ โดยคาดว่าภายใน 1 ปีนับจากนี้ จะได้เห็นความคืบหน้าของเรื่องนี้แน่นอน
หน้า 24 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,496 วันที่ 15 - 17 สิงหาคม พ.ศ. 2562
