เทพเจ้า ความศรัทธา สติและปัญญา
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ ในแวดวงบันเทิงและสื่อบันเทิงนั้น ผมปักหลักทำมาหากินมากว่า30ปี ตั้งแต่ยังไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำไป ผมผ่านร้อนผ่านหนาวในแวดวงนี้ สั่งสมประสบการณ์จากกันตนา อาร์เอส โปรโมชั่น (ชื่อในสมัยนั้น) ก่อนจะไต่เต้ามาเป็นผู้บริหาร เปิดค่ายเพลงอาร์สยามและขยับขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดของสายงานธุรกิจเพลงของบมจ. อาร์เอส
และต้นปี พ.ศ.2562 ผมได้ก่อตั้งบริษัท Network of Entertainment ( NEN360 ) เพื่อดำเนินธุรกิจบันเทิงและสื่อบันเทิงแบบครบวงจรขึ้นมา ถือว่าบริษัทนี้ผมเป็นเจ้าของอย่างเต็มตัว จึงทำให้ผมมีเรื่องที่จะมาเล่ามาคุยให้พวกท่านได้อ่านกันพอสมควร
เรื่องที่จะนำมาคุยมาเล่าให้ได้อ่านกันนั้นก็คงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว ซึ่งในแต่ละวันเรารับรู้ข้อมูลข่าวสารมากมาย เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เราเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แต่การที่รู้มากก็ใช่ว่าเราจะได้ประโยชน์มากตามปริมาณข่าวสารที่เราได้รับ เพราะถ้าเราไม่รู้จักกลั่นกรอง แยกแยะ และวิเคราะห์เอามาใช้ในมุมที่เกิดประโยชน์ก็อาจจะกลายเป็นได้แค่ขยะ ที่มากินเนื้อที่ทางสมองของเราได้
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้รับเชิญจากคนในวงการบันเทิงให้ไปเข้าร่วมการทำพิธีเทวาภิเษก องค์พระพิฆเนศ ซึ่งเป็นองค์เทพที่คนในวงการบันเทิงนับถือกัน ซึ่งก็นับเป็นครั้งแรกในชีวิตของผม ในระหว่างพิธีกรรมอันยาวนาน ผมเริ่มมีสมาธิ เลยคิดสงสัยอะไรอย่างหนึ่งว่า เทพเจ้าที่สำคัญต่างๆ ของโลกที่คนนับถือกันมากมายนั้นเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์หรือกุศโลบายที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นตัวแทนของสิ่งใดกันแน่ หรือเป็นไปได้หรือไม่ ที่เทพเจ้าเหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของพลังอำนาจแห่งจักรวาล ซึ่งในความคิดความเชื่อของผมนั้น ผมเชื่อโดยสนิทใจว่า จักรวาลอันยิ่งใหญ่นั้นเป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงและมีพลังอำนาจมากมายมหาศาลมากที่สุด จักรวาลจะเป็นไปตามกฎของจักรวาลเท่านั้น ไม่มีใครหรือพลังอำนาจจากแหล่งไหนที่จะไปเปลี่ยนแปลงกฎของจักรวาลได้ เราเองเป็นแค่เพียงส่วนเล็กมากๆ ส่วนหนึ่งที่เกาะอยู่บนฝุ่นผงธุลีของจักรวาล ดังนั้น เราจึงไม่มีพลังอำนาจใดๆ ที่จะไปเปลี่ยนแปลงจักรวาลได้เลย
แต่มองมุมกลับกัน เรากลับสามารถนำเอาพลังของจักรวาลมาเปลี่ยนแปลงเป็นพลังให้กับตัวเราเองได้ หรือนำมาใช้เพื่อสร้างทุกสรรพสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่เราไม่สามารถสร้างได้ด้วยเพียงพละกำลังของเราเองให้เป็นไปได้ เปรียบเสมือนกับก้านไม้ขีดไฟที่ไม่สามารถจุดตัวเองให้ลอยขึ้นไปในฟากฟ้าอวกาศได้ แต่กลับสามารถจุดชนวนให้พลุหรือจุดชนวนให้จรวดลอยหรือพุ่งทะยานไปบนฟ้าหรืออวกาศได้ นั่นหมายถึงว่าเราไม่สามารถทำงานโดยใช้พละกำลังของตัวเราเพียงลำพังเพื่อเอาชนะอุปสรรคน้อยหรือใหญ่ได้ทุกเรื่อง เพราะทุกคนย่อมมีพละกำลังที่จำกัด แต่ทำอย่างไรเราถึงจะใช้พละกำลังที่จำกัดของเราสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
นั่นก็คือเราต้องรับพลังของจักรวาลมาสู่ตนเอง โดยผ่านความเชื่อความศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรายึดถือ และนำเอาความเชื่อความศรัทธานั้นมาขับเคลื่อนสร้างแรงบันดาลใจ สร้างพลัง สร้างสติ สร้างปัญญา และสร้างกระบวนการบริหารจัดการที่เหมาะสม เพื่อนำเอาสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัวเราจนถึงพลังแห่งจักรวาลมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เปรียบเหมือนทำตัวเองให้เป็นตัวจุดระเบิด ที่พร้อมจะจุดระเบิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้แสดงพลังอำนาจหรือศักยภาพที่แท้จริงออกมา และนั่นก็คือวิธีการหรือวิถีทางที่เราจะสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือไปถึงจุดหมายปลายทางที่เกินพละกำลังของมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราจะทำโดยลำพังได้
การที่ผมได้เล่ามาทั้งหมดนั้น ไม่ได้หมายความว่าชวนให้ทุกท่านต้องไปเข้าร่วมในพิธีเทวาภิเษก องค์พระพิฆเนศนะครับ เพียงแต่มีเจตนาเล่าให้ฟังว่า พิธีกรรมต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไปมี กุศโลบายแฝงอยู่แทบทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าเราจะวิเคราะห์และมองในมุมไหน การที่ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมงาน เทวาภิเษกพระพิฆเนศในครั้งนี้สำหรับผม ถือว่าล้ำค่ามาก เพราะทำให้ผมได้มีช่วงเวลานั่งคิดตรึกตรองเรื่องการสร้างพลังและแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง ผ่านกุศโลบายของพิธีกรรม จุดประสงค์ในการไปร่วมพิธีของแต่ละคนที่ไปอาจจะแตกต่างกัน แต่สำหรับผมทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุดที่ผมได้รับจากพิธีเทวาภิเษกองค์เทพพระพิฆเนศในครั้งนี้นั่นก็คือ สติและปัญญาครับ
"เณร- ศุภชัย นิลวรรณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เน็ทเวิร์ค ออฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ 360 จำกัด (NEN360) นักบริหารหนุ่ม ไฟแรงอันดับต้นๆในอุตสาหกรรมบันเทิง คลุกคลีในวงการเพลง คอนเทนต์ และสื่อบันเทิงมากว่า 30 ปี พร้อมมาแชร์ไอเดียกับผู้อ่าน