พิษบาทแข็งไทยยูเนี่ยนQ2ยอดหด เหลือ 3.2 หมื่นล.-แต่กำไรยังโต 13%

06 ส.ค. 2562 | 08:00 น.

ไทยยูเนี่ยนประกาศกำไรขั้นต้นไตรมาส 2 โต 13.1% จากกลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็ง ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ายังทำผลงานได้ดี ขณะยอดขายลดลง 4.6% เหลือ 32,214 ล้านบาท จากอัตราแลกเปลี่ยนพ่นพิษ

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2562  มีกำไรขั้นต้น 5,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากกลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงทำผลงานได้ดีในไตรมาสนี้ ขณะที่มีกำไรสุทธิก่อนหักค่าใช้จ่ายรายการพิเศษ 1,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลกำไรขั้นต้นที่ดีส่งผลให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมและค่าจัดจำหน่ายอยู่ที่ 15.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท ต่อหุ้น

พิษบาทแข็งไทยยูเนี่ยนQ2ยอดหด เหลือ 3.2 หมื่นล.-แต่กำไรยังโต 13%

ขณะที่ยอดขายไตรมาสที่ 2 มีมูลค่า 32,214 ล้านบาท ลดลง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ค่าเงินสกุลยูโรอ่อนตัวลง และราคาวัตถุดิบที่ลดลง อย่างไรก็ดีปริมาณการขายของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่ามากขึ้น

ทั้งนี้ยอดขายไทยยูเนี่ยนในไตรมาส 2 ของปีนี้ ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายอยู่ที่ 14,031 ล้านบาท ลดลง 14.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา,ธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็นเพิ่มขึ้น 3.6% อยู่ที่ 13,435 ล้านบาท จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปีก่อน ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 6.7% อยู่ที่ 4,747 ล้านบาท ด้วยปริมาณการขายที่เติบโตขึ้น 5.9%

พิษบาทแข็งไทยยูเนี่ยนQ2ยอดหด เหลือ 3.2 หมื่นล.-แต่กำไรยังโต 13%

                                                 ธีรพงศ์  จันศิริ

“ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 ยอดขายในอเมริกาเหนือ มีสัดส่วน 39% ของยอดขายรวมทั้งหมด ในขณะที่ตลาดยุโรปคิดเป็นสัดส่วน 29% ตลาดในประเทศมีสัดส่วน 12% และยอดขายตลาดอื่นๆ คิดเป็น 19% ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญในเรื่องความสามารถในการทำกำไร  ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 นี้เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจในสภาวะที่มีความท้าทาย” นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวและว่า

ไทยยูเนี่ยนยังมองถึงอนาคต โดยได้นำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดต่างๆ ต่อไป ซึ่งคาดหวังจะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีธุรกิจของบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน

พิษบาทแข็งไทยยูเนี่ยนQ2ยอดหด เหลือ 3.2 หมื่นล.-แต่กำไรยังโต 13%

ศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน มีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยกว่า 160 คนจากทั่วโลกทำงานร่วมกัน

ขณะเหตุการณ์สำคัญในระหว่างไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 บริษัท ชิคเก้น ออฟ เดอะซี ในเครือไทยยูเนี่ยน ได้ตกลงระงับข้อพิพาทกับผู้ฟ้องคดีส่วนใหญ่ในคดีการป้องกันการผูกขาดในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเงินจำนวน 1,402 ล้านบาทหลังจากหักภาษีแล้ว โดยหากไม่รวมค่าใช้จ่ายจากรายการพิเศษในกรณีดังกล่าว บริษัทได้บันทึกกำไรสุทธิเป็นเงินจำนวน 1,513 ล้านบาท 

"เราเปิดเผยสถานะล่าสุดของคดีดังกล่าว เนื่องจาก บริษัท ชิคเก้น ออฟ เดอะซี ได้เตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบทางการเงินใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น" นายยอร์ก ไอร์เล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินกลุ่มบริษัท กล่าว

ทั้งนี้ไทยยูเนี่ยนยังคงมุ่งมั่นพัฒนาในด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัท ได้เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน หรือ Global Innovation Center (GIC) ณ อาคารเอส เอ็มทาวเวอร์ อย่างเป็นทางการ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเป็นประธานในพิธีเปิด  โดยศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร และมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยกว่า 160 คน