พาณิชย์ชี้“ทรัมป์”สั่งขึ้นภาษีสินค้าจีน 3 แสนล้านดอลล์ ซ้ำเติมเศรษฐกิจ ค้าโลกยิ่งหดตัว รับกระทบไทยแน่ แต่อีกด้านมองเป็นโอกาสส่งออกสินค้าไทยกว่า 725 รายการแทนสินค้าจีนได้เพิ่ม ดีเดย์ 14 ส.ค.ประชุม กรอ.พาณิชย์ ถกแผนรับมือเชิงรุก
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)กระทรวงพาณิชย์ เผยถึงกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนอีกมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตา 10% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 ว่า สินค้าล็อตใหม่ที่สหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีครั้งนี้ มีจำนวน 3,812 รายการ โดย มี 7 รายการที่ซ้ำกับมาตรการขึ้นภาษีรอบ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่มีผลบังคับใช้ไปแล้ว ซึ่งในกลุ่มล่าสุดเป็นสินค้าส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน โดยส่วนใหญ่ครอบคลุมสินค้าอุปโภค และบริโภค อาทิ อาหาร อุปกรณ์/เครื่องใช้ภายในบ้าน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริม) เสื้อผ้าและรองเท้า เครื่องประดับ และของเล่น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยกเว้น สินค้าบางรายการ อาทิ ยา และแร่ Rare Earth
การขึ้นภาษีครั้งนี้ สหรัฐฯ อ้างว่าจีนไม่ทำตามข้อตกลงที่เคยได้ให้ไว้ คือไม่ซื้อสินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง และอื่นๆ) และยังขายยา Fentanyl (ยาระงับปวด) ไปยังสหรัฐฯ บวกกับการเจรจาครั้งที่ 12 ที่กรุงปักกิ่ง ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ทั้งนี้ นาย Robert Lighthizer ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ(ยูเอสทีอาร์) และนาย Steven Mnuchin รัฐมนตรีการคลังของสหรัฐฯ มีท่าทีคัดค้านการขึ้นภาษีครั้งนี้ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ - จีน มีกำหนดการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกครั้งในเดือนกันยายน 2562
สำหรับผลกระทบกับประเทศไทยนั้น มองว่า หาหกทรัมป์ ยังคงใช้มาตรการทางภาษีเพื่อกดดันจีน โดยเฉพาะให้นำเข้าสินค้าเกษตรซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของสหรัฐฯ ในแถบ Midwest ขณะที่จีนมีท่าทีดึงการเจรจาออกไป โดยอาจรอดูแนวโน้มผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกกายน 2562 นี้ ซึ่งผลกระทบจากสงครามการค้าไม่ได้กระทบไทยเพียงประเทศเดียว แต่ส่งผลไปทั่วโลก อาจทำให้ปริมาณการค้าโลกหดตัว รวมทั้งส่งผลต่อตลาดเงิน ตลาดทุน และราคาน้ำมัน ที่มีการตอบสนองทันทีหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตประกาศการขึ้นภาษีตอบโต้ครั้งล่าสุตลาดหุ้นดาวน์โจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุด เช่นเดียวกับราคาน้ำมัน โดยก่อนหน้านี้ IMF ได้ประกาศปรับลดคาดการณ์ GDP และปริมาณการค้าโลก (สินค้าและบริการ) ปี 2019 เหลือ 3.2% และ 2.5% ตามลำดับ
โดยหากสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีจริง ผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกไทยและผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานจีน ประเมินว่ามีไม่มากนักเมื่อเทียบกับมาตรการที่ผ่านมา และบางส่วนเป็นสินค้าที่ไทยมีการนำเข้าสุทธิในปี 2561 และ 2562 ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ จะติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบผ่านห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่างใกล้ชิด
ขณะที่รายการสินค้าที่ไทยสามารถแสวงหาโอกาสในการส่งออกเพิ่มได้ โดยเฉพาะมีสินค้าเกษตรอยู่หลายรายการ ไทยมีโอกาสที่จะส่งออกเพิ่มในตลาดสหรัฐฯ กว่า 725 รายการ โดยเป็นสินค้าที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดและความสามารถทางการแข่งขันในรายสินค้า (RCA) สูง ประกอบกับภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าไทยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค อาทิ อาหารและเครื่องปรุงอาหาร (เครื่องเทศ น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะพร้าว พีนัท ถั่ว Pignolia น้ำตาลอ้อย) น้ำผลไม้ ขิง ชาเขียว เสื้อผ้าและผ้าผืน รองเท้า อุปกรณ์กีฬา เครื่องประดับ (ไข่มุกและนาฬิกา) และของใช้ในบ้าน (เครื่องเซรามิค เครื่องแก้ว)
“การตอบโต้กันระหว่างสหรัฐฯ และจีน เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเช่นไทย รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์มิได้นิ่งนอนใจ ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ. พาณิชย์) ในวันที่ 14 สิงหาคมนี้จะมีการหารือในประเด็นนี้ด้วย โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมแนวทางการรับมือไว้ เช่น ทำแผนรุกตลาดในสินค้าศักยภาพลงลึก และเร่งการพัฒนาการส่งออกผ่านออนไลน์ (e-commerce) เตรียมข้อมูลเรื่อง non-tariff measures ที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่ควรเร่งเจรจา เร่งผลักดันการค้าชายแดนที่มีศักยภาพในการขยายตัว”
อย่างไรก็ตามสงครามการค้าครั้งนี้ ไม่ได้มีแต่สหรัฐฯ และจีนที่เจ็บตัวกัน แต่ผลกระทบกระจายไปทั่วโลก เจ็บตัวกันไปไม่มากก็น้อย ซึ่งไม่เป็นผลดีกับการค้าโลกที่ยังเปราะบางอยู่ สนค. มองว่าความขัดแย้งของสองประเทศ มีรากเหง้าลึกกว่าเรื่องของการค้า เป็นการแข่งขันกันในด้านเทคโนโลยีและการมีอิทธิพลในทวีปเอเชียด้วย จึงอาจจะเป็นหนังเรื่องยาว ในส่วนของไทยแม้ว่าอาจจะทำให้การส่งออกลดลงบ้างในปีนี้ แต่ท่ามกลางปัญหา ก็ยังเห็นโอกาสอยู่หลายจุด เพราะเศรษฐกิจไทยและการส่งออกไทยมีพื้นฐานที่เข้มแข็ง สินค้าไทยหลายรายการมีมาตรฐานสูงและมีชื่อเสียงในตลาดโลก เป็นโอกาสที่เราจะนำสินค้าไทยแทรกเข้าไปในหลาย ๆ ตลาด แม้ว่าระยะสั้นอาจจะต้องมีผลกระทบแรงต่อการส่งออก แต่มั่นใจว่า ถ้าทุกภาคส่วนร่วมมือกันก็จะรับมือได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้ติดตามสถานการณ์การนำเข้าอย่างใกล้ชิดในกลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ฯ อะลูมิเนียม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ เครื่องจักรไฟฟ้าฯ ทองแดง และเคมีภัณฑ์ เพื่อป้องกันการสินค้าจีนไหลเข้ามาไทยเป็นจำนวนมากจากมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯและจีนที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศและผู้บริโภค ซึ่งช่วงที่ผ่านมายังไม่พบการนำเข้าที่ผิดปกติ