“อินเดีย”ผงาดเศรษฐกิจ 1 ใน 3 ของโลก ฝันใหญ่-ไปถึง?

11 กรกฎาคม 2562

 “อินเดีย”ผงาดเศรษฐกิจ 1 ใน 3 ของโลก ฝันใหญ่-ไปถึง?

เมื่อวันศุกร์ที่ 5 ก.ค. 2562 นางเนียมาลา สิทรารามาน (Nirmala Sitharaman) รัฐมนตรีคลังอินเดีย (อายุ 60 ปี เกิดที่รัฐทมิฬ นาฑู จบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์) ได้แถลงงบประมาณประจำปี 2019 (Budget 2019) ให้กับสภาผู้แทนราษฎร (เป็นสภาล่างของรัฐสภาอินเดีย เรียกว่า “โลกสภา : Lok Sabha” และสภาสูงเรียกว่า “ราชยสภา : Rajya Sabha”) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอินเดียคนปัจจุบัน “นายนเรนทรา โมดี (Narendra Modi)” รอบที่สอง มีนโยบายเศรษฐกิจเรียกว่า “Modinomics 2.0”

 “อินเดีย”ผงาดเศรษฐกิจ 1 ใน 3 ของโลก ฝันใหญ่-ไปถึง?

                                            นเรนทรา  โมดี

 

“Modinomics 2.0” เน้น 2 เรื่องหลักคือ การเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน (ปี 2561 อัตราการว่างงาน 6.1% ตัวเลขเดือน เม.ย. 2562 เป็น 7.6% สูงสุดในรอบ 45 ปี)  โดยมีเป้าหมายอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจปีละ 7% เพื่อให้ GDP อินเดียเพิ่มขึ้นจาก 3.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ปี 2561) เป็น 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในอีก 5 ปีข้างหน้า

นโยบายหลัก 1.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ถนน รถไฟ และการพัฒนาชนบท สร้างถนนเพิ่ม 12,000 กิโลเมตรในปี 2024(พ.ศ.2567) 2.ลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 25% และจะเก็บภาษีรายได้จากคนรวยเพิ่มอีก 3% (เก็บจากคนที่มีรายได้ระหว่าง 9 ล้านบาทถึง 23 ล้านบาทต่อปี หรือ 7.5 แสนบาท ถึง 2 ล้านบาทต่อเดือน) และเก็บ 7% คนที่มีรายได้มากกว่า 2 ล้านบาทต่อเดือน รวมถึงเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น ทองคำนำเข้า (เพิ่มจาก 10% เป็น 12.5%) และน้ำมันดิบนำเข้า

 “อินเดีย”ผงาดเศรษฐกิจ 1 ใน 3 ของโลก ฝันใหญ่-ไปถึง?

3.มีการดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เพื่อลงทุนธุรกิจการบิน สื่อสาร ประกันภัย และธุรกิจกลุ่ม “AVGC (Animation, Visual Effect, Game และ Comics)” ผ่านการผ่อนคลายกฎระเบียบการร่วมทุนระหว่างบริษัทต่างชาติกับบริษัทอินเดีย ซึ่งตามระเบียบเดิมของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้า (Department of Promotion Industry and Trade) สังกัดกระทรวงพาณิชย์บอกว่า “บริษัทต่างชาติสามารถลงทุน 100% ได้ แต่ต้องหาบริษัทอินเดียมาจำหน่ายสินค้าหรือ “Local Sourcing” ในสัดส่วน 51% ของมูลค่าเงินลงทุน” แต่จะเปลี่ยนกฎเหลือร่วมทุนอย่างต่ำ 30% ของมูลค่าเงินลงทุน

 

ที่ผ่านมาบริษัทต่างชาติหาหุ้นร่วมอินเดียยากมากเพราะต้องใช้เงินทุนสูง แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป เราจะเห็น บริษัทอย่าง Ikea หรือ บริษัท Apple จะมีร้านค้าหรือสาขามากขึ้นในอินเดีย รวมถึงบริษัทมือถือของประเทศจีน (ปี 2561 FDI เข้ามาอินเดีย 60.97 พันล้านดอลลาร์ FDI ไทย 18,000 ล้านดอลลาร์ FDI เวียดนาม 35,000 ล้านดอลลาร์ นักลงทุนรายใหญ่คือสิงคโปร์ ญี่ปุ่นและยุโรป ลงทุนในกลุ่ม IT และอุตสาหกรรมการผลิต) ผลการผ่อนคลายกฎนี้จะทำให้คาดว่า FDI อินเดียในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

4.ปฎิรูปภาคเกษตรกรรมโดยเพิ่มรายได้เกษตรกรเป็น 2 เท่าใน ปี 2022(พ.ศ.2565) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลอินเดียมาตั้งแต่ปี 2560 ผ่านหน่วยงานที่ชื่อว่า “National Institution for Transforming India (NITI)” ข้อมูลจาก National Bank for Agriculture and Rural Development (NABARD) (เป็นสถาบันการเงินของรัฐบาลอินเดีย สำนักงานใหญ่อยู่ที่มุมไบ)  รายงานผลการสำรวจปี 2559 ว่า รายต่อครัวเรือนเกษตรกรอินเดีย 9,000 รูปีต่อเดือน หรือ 131 บาทต่อเดือน ถึง 1,661 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (NITI)

 “อินเดีย”ผงาดเศรษฐกิจ 1 ใน 3 ของโลก ฝันใหญ่-ไปถึง?

 

ในขณะที่ปี 2562 รายได้ต่อหัวต่อปีของคนอินเดียอยู่ต่ำกว่าอีกหลายประเทศ ปี 2561 อยู่ที่ 2K (K= พันดอลลาร์) ไทย 7K ดอลลาร์และจีน 10K ดอลลาร์ ภาคเกษตรกรรมของอินเดียมีความสำคัญต่ออินเดียอย่างมากเพราะมีการจ้างงานร้อยละ 40 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และร้อยละ 50 ของประชากรอาศัยในภาคเกษตรกรรม มีครัวเรือนเกษตร 140 ล้านครัวเรือน  มีสัดส่วน 17% ต่อ GDP (ลดลงจาก 50% จากปี 1950) สามารถผลิตได้หลายชนิดที่ติดอันดับหนึ่งโลก ได้แก่ มะม่วง กล้วย และมะนาว อันดับสองโลก ได้แก่  ข้าว  ข้าวสาลี หอมใหญ่  มะเขือเทศ นอกจากนี้ยังผลิต ฝ้าย อ้อย ชา กาแฟ ถั่ว มีอัตราการเติบโตปีละ 2% (ต่ำเมื่อเทียบช่วงปี 2014-17 ที่โต 3.7%)

 “อินเดีย”ผงาดเศรษฐกิจ 1 ใน 3 ของโลก ฝันใหญ่-ไปถึง?

 

สิ่งที่ “Modinomics” จะดำเนินการคือ 1.ให้เงินโดยตรง เกษตรกรที่ถือครองที่ดินน้อยกว่า 2 เฮกตาร์(1 เฮกตาร์เท่ากับ 6 ไร่ 1 งาน) จะได้รับเงินสนับสนุน 2,000 รูปีต่อคน ครัวเรือนได้ประโยชน์ 120 ล้านครัวเรือน ยกเว้นภาษีให้กับผู้มีรายได้น้อย (รายได้ต่ำกว่า 7,140 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี) 2.สร้างมูลค่าเพิ่ม เน้นการวัตถุดิบที่มีคุณภาพ เช่น พันธุ์ที่ดี น้ำ และป้องกันโรค ทำเกษตรพันธสัญญากับบริษัทเอกชน เพื่อตัดพ่อค้าคนกลาง  สนับสนุนภาคเอกชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างสหกรณ์การเกษตร 10,000 แห่งทั่วประเทศ

 

3.ซื้อขายสินค้าเกษตรออนไลน์ ผ่านทาง E-NAMs (e-national Agriculture Markets) ซึ่งจะทำงานร่วมกันกับ Agricultural Produce Marketing Committee (APMC) เพื่อให้ราคาสินค้าเกษตรเป็นธรรม 4.ถนนเพื่อการเกษตร สร้างถนนชนบท 1.25 แสนกิโลเมตร เพื่อให้สามารถนำสินค้าออกมาขายได้ง่ายขึ้น 5. ส่งเสริมเกษตรนวัตกรรม ผ่าน Mobile App,  Big data  และ AI เป็นต้น เราต้องมาดูกันต่อไปว่าในปี 2024 (พ.ศ.2567) อินเดียจะสามารถ "ทำตามฝันได้หรือไม่" ครับ