ส.อ.ท.-หอการค้าไทยจี้ธปท. หามาตรการลดบาทแข็ง
สภาอุตสาหกรรม-สภาหอการค้าไทย จ่อตบเท้าเข้าพบธปท. จี้หามาตรการลดบาทแข็ง เหตุกระทบส่งออก-จีดีพีไทยโต มองกรอบสมดุลอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ฯ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์หน้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรวมถึงสภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย จะเข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าและกระทบการส่งออก โดยจะรวบรวมข้อมูลและตัวเลขผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าต่อการส่งออก เพื่อพยายามผลักดันให้ธปท.ช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท
ทั้งนี้ หากดูตัวเลขสิ้นปีจนถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าไปแล้วกว่า 6% เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่มีประเทศไหนแข็งค่าเท่ากับประเทศไทย หรือแข็งค่าก็น้อยกว่าเฉลี่ย 2-3% เท่านั้น ซึ่งหากไม่ดำเนินการอะไรจะยิ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการส่งออกมากขึ้น และอาจกระทบมากกว่าประมาณการที่วางไว้
อย่างไรก็ดี กรอบค่าเงินบาทที่ส.อ.ท.อยากเห็นควรจะอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ฯ บวกลบ โดยอย่าแข็งค่ามาก หรือหวือหวาเกินไป และอยากเห็นค่าเงินบาทสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ซึ่งหากค่าเงินบาทมาอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โอกาสที่การส่งออกจะติดลบน้อยลง แต่อาจไม่ดีตามกรอบเดิมที่ตั้งไว้ 3-5%
“ภายในสัปดาห์หน้า ส.อ.ท.และสภาหอการค้าจะเข้าไปหารือกับธปท. ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนในเรื่องของค่าเงิน โดยคาดวหวังว่า ธปท.มีศักยภาพในการทำมาตรการต่างๆ แม้จะบอกว่า ไทยมีเงินสำรองสูง บาทจึงแข็งค่า แต่ประเทศอื่นก็มีสำรองสูง แต่บาทไม่ได้แข็งค่าเท่าเงินบาท ซึ่งหากช่วงมีออร์เดอร์และทำราคาเสนอขายจะต้องใช้เรท ณ ตอนนั้น ซึ่งบาทแข็ง 5-6% แค่เวียดนามอ่อนค่า 2-3% ทำให้ไทยมีต้นทุนเพิ่ม 5-6% กระทบความสามารถการแข่งขัน จึงต้องการผลักดันเรื้องนี้เร่งด่วน”
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)ได้ให้ความรู้ในเรื่องป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการตระหนักรู้ โดยตอนนี้ได้ทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศไทย(Eximbank) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบลดความเสี่ยงจากค่าเงินที่ผันผวน
