หลังเลือกตั้ง ผ่านมาแล้วตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2562 จนถึงปัจจุบัน วันที่ 8 กรกฎาคม 2562 รวม 3 เดือน 14 วัน เข้าไปแล้ว ก็มีแต่คำถามเซ็งแซ่ว่า เมื่อไรจะได้เห็นคณะรัฐมนตรี(ครม.) ใหม่สักที?
เพราะอยากเห็นการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อมาบริหารประเทศเสียที ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เผยโผครม.ออกมาและประกาศว่ากลางเดือนกรกฎาคม 2562 จะมีการถวายสัตย์ปฏิญาณคณะรัฐมนตรี ซึ่งถือว่าจะเป็นรัฐบาล “บิ๊กตู่ 2”
ส่วนสำคัญที่ใครๆ ก็รอคอย คือ เงินๆ ทองๆ ของรัฐบาล เพื่อนำมาพัฒนาประเทศทุกภาคส่วน
ถือว่าเป็นงานหินชิ้นแรกของรัฐบาล เนื่องเพราะความล่าช้า ที่น่าจะถือว่ายาวนานทีเดียวสำหรับการจัดสรรตำแหน่งพรรคร่วมรัฐบาล ที่ว่ากันว่า หมิ่นเหม่แบบปริ่มนํ้า
ความล่าช้ายืดยาวถึงกว่า 3 เดือน ย่อมมีผลต่อการพิจารณา พ.ร.บ. ร่างงบประมาณประจำปี 2563 ซึ่งคาดว่าจะถูกเลื่อนไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2563 โดยงบประมาณประจำปีได้รับอนุมัติจำนวน 3,200,000 ล้านบาท
ในจังหวะที่สถานการณ์ปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองขณะนี้ ไม่มีเวลารอนาน
โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ชะลอตัวอย่างแรง ที่สุดก็ต้องกระเทือนถึงปากท้องชาวบ้าน
นักธุรกิจเริ่มออกมาบ่น แบงก์ชาติเริ่มออกมาเตือนว่า ยิ่งตั้งรัฐบาลช้า เศรษฐกิจจะยิ่งดิ่งเหว ต้องรอเงินงบประมาณเพื่อให้ไหลเข้าระบบ
ขณะนี้เศรษฐกิจไทยโดยรวมถือว่าอยู่ขาลง ในด้านธุรกิจจะเห็นได้ว่าต่างชะลอทั้งนั้นเปรียบเหมือนการขับรถ ตอนนี้ต้องแตะเบรกอย่างเดียวก่อน ยังไม่สามารถเหยียบคันเร่งได้ เพราะการทำธุรกิจมีตัวแปรมาก ทั้งภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ปัญหาการเมือง และเศรษฐกิจโลกด้วย
สิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการคือ การออกนโยบายหรือมาตรการต่างๆเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการจับจ่ายสินค้าโดยเร็ว รวมทั้งดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่อยู่ในระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯขึ้นไป เพราะที่ผ่านมาการจัดตั้งรัฐบาลมีการยืดเยื้อ หากยังยืดเยื้อต่อไปอีกอาจทำให้ไทย สูญเสียโอกาส นักลงทุนใหม่ๆ ที่กำลังตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยเปลี่ยนใจย้ายไปตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมาแทน
มีการประเมินว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าจะกระทบกับ งบลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐอาจจะช้ากว่าที่ควรจะเป็นกว่า 7-8 หมื่นล้านบาท ผลของความล่าช้านั้นทำให้การเบิกจ่ายงบการลงทุนของภาครัฐจะไม่สามารถทำได้ จะดำเนินการได้เพียงงบประมาณรายจ่ายประจำและงบผูกพันเท่านั้น
แต่เชื่อว่ารัฐบาลใหม่คงไม่นิ่งนอนใจ คงต้องเร่งไม่ให้งบประมาณล่าช้า เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเบิกจ่ายเงินงบลงทุน และเศรษฐกิจ
อย่าลืมว่า งบประมาณไม่ออก ประเทศเดินหน้าไม่ได้
นอกจากนี้ ต้องติดตามนโยบายใหม่ของรัฐบาลบิ๊กตู่ 2 อย่างเป็นทางการจะมีเนื้อหาสาระอย่างไรและเพียงใดนั้น จึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายห่วงใย กำลังเฝ้ามองดูไม่กะพริบตาว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะจัดการกับนโยบายขายฝัน ขายฝาก ประชารัฐหรือรัฐสวัสดิการที่แต่ละพรรคการเมืองงัดออกมาสร้างคะแนนนิยมในช่วงหาเสียง จะมามัดรวมกันให้เป็นเนื้อเดียวกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้อย่างไร
ฝากลุงตู่ พายเรือ พารัฐนาวาไปให้ถึงฝั่งครบ 4 ปี ที่สำคัญขอฝากไว้ว่าประชาธิปไตยนั้นกินไม่ได้สำหรับชาวบ้าน ถ้าพวกเขายังหิว อย่าให้เขารู้สึกถูกทอดทิ้ง ผิดหวัง จะเกิดปัญหาบานปลายได้
ขอให้โชคดี
เปิดงบฯรายจ่ายปี63 รับรัฐบาลใหม่
สำหรับรายละเอียดการปรับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยให้ทุกหน่วยงานทบทวน เพิ่มเติม และยืนยันคำของบประมาณให้สำนักงบประมาณภายในเดือนกรกฎาคม จากนั้นสำนักงบประมาณจะเสนอให้ ครม.ใหม่พิจารณา และเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาวาระที่ 1 ปลายเดือนกันยายน และวาระที่ 2-3 ต้นเดือนธันวาคม ก่อนเสนอวุฒิสภากลางเดือนธันวาคมจากนั้นจึงจะนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้ต่อไป
ทั้งนี้วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ 1 มีมติเห็นชอบจำนวน 3,200,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% ซึ่งอยู่ที่ 2แสนล้านบาท จากปีงบประมาณ 2562
โดยมีโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประกอบด้วย รายจ่ายประจำ 2,358,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากปีงบประมาณ 2562 หรือคิดเป็น 73.7% ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 62,709.5 ล้านบาท คิดเป็น 2% ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายลงทุน 691,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% จากปีงบประมาณ 2562 หรือคิดเป็น 21.6% ของวงเงินงบประมาณ
รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 87,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% จากปีงบประมาณ 2562 หรือคิดเป็นสัดส่วน 2.7% ของวงเงินงบประมาณ
ขณะที่รายได้สุทธิจำนวน 2,750,000 ล้านบาทเป็นงบประมาณขาดดุล 450,000 ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ 2562 และคิดเป็นสัดส่วน 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
ทั้งนี้ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ได้ตั้งอยู่บนสมมติฐานทางเศรษฐกิจไทย ที่คาดว่าในปี 2563 จะขยายตัว 3.5-4.5% และงบดังกล่าวยังเท่ากับกรอบวงเงินตามแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2563-2565 ตามที่ ครม. ได้มีมติเห็นชอบไปแล้ว
จึงอยากฝากความหวังไปยังรัฐบาลใหม่ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ต้องให้เกิดความเชื่อมโยงทั่วถึงประชาชนทุกมิติ
ปฏิกิริยา โดย บิ๊กอ๊อด ปากพนัง
หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3486 ระหว่างวันที่ 11 - 13 กรกฎาคม 2562