เมื่อแบรนด์สำคัญ ‘รายเล็กจึงอยู่ยาก’

05 ก.ค. 2562 | 23:40 น.

คอลัมน์ผ่ามุมคิด

 

ไอริส กรุ๊ปผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ โดยนายกิตติพงษ์ สุมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สะท้อนความยากในการทำธุรกิจยุคปัจจุบัน เมื่อรายใหญ่ยังกินรวบส่วนแบ่งตลาด พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน แบรนด์คือปัจจัยสำคัญของการตัดสินใจซื้อ การพาตัวเองขยับและเปลี่ยนผ่านคือ ทางออก ตั้งหลักดีไซน์ -ทำเลต้องโดน ขณะที่ตุนที่ดินศักยภาพกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด ลุยสร้างการเติบโต ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2564 เชื่อปีนี้ตลาดบนยังไปรอด เจาะตลาดลักชัวรีย่านสุขุมวิทตอนปลายพยุงยอด

สะท้อนตลาดปี 62

ช่วงครึ่งแรกปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัทไม่เปิดตัวโครงการใหม่ แต่ยอดขายในโครงการเดิมๆ เช่น คอนโดฯ ไอริส เวสท์เกต ราคา 1.5 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยว ไอริส พาร์ค ประมาณ 3 ล้านบาท พบจำนวนลูกค้าเข้าดูโครงการตลอดจนยอดขายลดลงมากกว่าครึ่ง ขณะเดียวกันรีเจ็กต์สูงถึง 20% คาดจากผลกระทบภาพรวมเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนที่สูงมากในกลุ่มกลาง-ล่าง ยังไม่ดีขึ้น มองภาพรวมตลาดอสังหาฯปีนี้น่าจะทรงตัว อย่างไรก็ตาม หวังช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ต่างๆจะดีขึ้น แม้ระยะเวลาเม็ดเงินที่รัฐจะป้อนเข้าสู่ระบบจะล่าช้ากว่ากำหนด โดยขอให้ทีมเศรษฐกิจใหม่ออกมาตรการมากระตุ้นให้ตรงจุด เช่นเดียวกับธุรกิจอสังหาฯ การส่งเสริมให้มีที่อยู่เป็นของตัวเอง ผ่านมาตรการทางภาษีคงช่วยสร้างบรรยากาศให้ภาพรวมดีขึ้นเช่นกัน

เมื่อแบรนด์สำคัญ  ‘รายเล็กจึงอยู่ยาก’

กิตติพงษ์  สุมานนท์

เจาะตลาดบนสุขุมวิท

อย่างไรก็ตาม ตลาดที่ยังเป็นโอกาสในด้านกำลังซื้อซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องเศรษฐกิจและ LTV นั้น คือกลุ่มตลาดบน หรือ ลักชัวรี โดยเฉพาะในกลุ่มแนวราบ ล่าสุดเปิดตัวโครงการแรกของปี IDEN Sukhuvit 101 (ซอยสุขุมวิท 101) บ้านแฝด 42 หลัง มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท ราคาขายเริ่มที่ 24 ล้านบาท เพื่อรองรับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่เอลิสต์ ต้องการพื้นที่มากกว่าคอนโดฯ หลังสำรวจตลาดพบ แม้เป็นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการ LTV ในกลุ่มราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป แต่กำลังซื้อยังมี จะตัดสินใจเมื่อมีซัพพลายตอบโจทย์ความต้องการ ทั้งเรียกเก็บดาวน์สูงจึงไม่กังวล

เดิมทำเลนี้เป็นตลาดของคอนโดฯ แต่ต้องการจับกลุ่มลูกค้าครอบครัวขยาย โดยเฉพาะนักธุรกิจมีกำลังซื้อ เป็นทำเลที่น่าสนใจผ่านความเจริญ สะท้อนจากโครงการของรายใหญ่ทยอยเข้ามามากขึ้น

 

ดีเวลอปเปอร์รายเล็ก

นายกิตติพงษ์ ระบุ เดิมทีบริษัทพัฒนาโครงการแบบค่อยเป็นค่อยไป เน้นขนาดโครงการไม่ใหญ่ ปิดการขายเร็ว และเปิดเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพสูง โปรดักต์ชัดเจน แต่ที่ผ่านมายอมรับว่ายังเป็นรอง และมักได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่นๆมากกว่ารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯเสมอขณะที่ส่วนแบ่งทางตลาดถูกกลืนกินลดน้อยลง ประกอบกับมุมมองผู้บริโภคปัจจุบันเปลี่ยน การทำแบรนด์ของอสังหาฯมีความสำคัญและดึงดูดคนซื้อมากขึ้นในแง่การตัดสินใจ จึงจำเป็นต้องขยับปรับขนาดของตนเอง โดยมีเป้าหมายช่วงปี 2564 เตรียมนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้นอกจากเพื่อแสวงหาเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ยังถือเป็นการเพิ่มโอกาสสร้างการจดจำ รับรู้ และความเชื่อมั่นแบรนด์ในใจผู้บริโภคได้อีกด้วย

แผน 2 ปี

 ขณะนั้นบริษัทต้องมีรายได้แตะ 2 พันล้านบาทต่อปี ทำให้ในช่วง 2 ปีหลังจากนี้ต้องเร่งสร้างการเติบโต หลังจากปีนี้คาดจะมีรายได้จบที่ 600 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งลดลงจากปีก่อนถึง 25% อย่างไรก็ตามไม่กังวล เนื่องจากในช่วงปลายปีเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการแนวราบย่านนวมินทร์ มูลค่า 1.3 พันล้านบาท และยังมีที่ดินรอการพัฒนาสำหรับปีต่อๆไป เบื้องต้น 3 โปรเจ็กต์ ทำเลชลบุรี ระยอง และกทม.(ฝั่งธนบุรี) โดยมีไฮไลต์อยู่ที่โปรเจ็กต์ใหญ่ในจังหวัดระยอง บนที่ดินจำนวน 34 ไร่ (หาดพลา) รูปแบบมิกซ์ยูส แนวคิด ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง เจาะกำลังซื้อวัยเกษียณชาวต่างชาติ เนื่องจากติดหาด และใกล้แนวเชื่อม 3 สนามบินอีอีซี ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษารูปแบบ และการหาพันธมิตรด้านสถานพยาบาลร่วมด้วย คาดจะผลักดันให้บริษัทมีการเติบโตที่ดีได้ตามเป้าหมาย

 

หน้า 25-26 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ  ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,485  วันที่ 7-10 กรกฎาคม 2562

 

เมื่อแบรนด์สำคัญ  ‘รายเล็กจึงอยู่ยาก’