‘สารัชถ์’แชมป์เศรษฐี ครึ่งปีรวยหุ้น9.2หมื่นล.ทิ้ง‘หมอเสริฐ’ไม่เห็นฝุ่น
“สารัชถ์” ยักษ์ใหญ่พลังงานไทยรวยพุ่ง 9.2 หมื่นล้าน หลังราคาหุ้นกัลฟ์พุ่ง ดันพี/อี 104 เท่า ขึ้นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยในครึ่งปี 62 แซงหน้า “หมอเสริฐ” แห่งโรงพยาบาลกรุงเทพ “นิติ” ทายาทโอสถสภา ขึ้นมาอันดับ 3 ด้วยเงินในพอร์ตเฉียด 5 หมื่นล้าน
ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของ 2562 นับว่าคึกคักอย่างมาก โดย ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2562 ดัชนีปิดที่ 1730.34 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 166.46 จุด หรือ 10.64% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2561 ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17,746,877.27 ล้านบาท จากสิ้นปี 2561 ที่มี 15,978,251.87 ล้านนบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,768,625.40 ล้านบาท สร้างความมั่งคั่งให้กับเศรษฐีหุ้นเมืองไทยอย่างเป็นกอบเป็นกำ
กัลฟ์รวยแซงหมอเสิรฐ
“ฐานเศรษฐกิจ” ได้สำรวจความมั่งคั่งเศรษฐีหุ้นรายบุคคลของไทย พบว่า ในครึ่งแรกปี 2562 อันดับเศรษฐีหุ้นได้เปลี่ยน แปลงใหม่จากปลายปี 2561 โดยอันดับ 1 คือ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ GULF ด้วยมูลค่าการถือครองหุ้น 92,988 ล้านบาท ส่วนอันดับ 2 คือ นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BDMS) ด้วยมูลค่าการถือครองหุ้น 75,446 ล้านบาท
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหุ้น GULF เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 83.50 บาท ณ วันที่ 2 มกราคม 2562 มาอยู่ที่ 123 บาท ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2562 ส่งผลให้นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ผู้ถือหุ้นใหญ่ กัลฟ์ จำนวน 756 ล้านหุ้น ขึ้นมาเป็นเศรษฐีหุ้นรายบุคคลอันดับ 1 ของเมืองไทย มีความมั่งคั่งจากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 63,125 ล้านบาท เป็น 92,988 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 29,863 ล้านบาท
สารัชถ์ รัตนาวะดี
ส่วนอันดับ 2 ได้แก่นาย ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ที่ถือหุ้น บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA และ บริษัท โรงพยาบาลนนทเวช จำกัด (มหาชน) หรือ NTV มีความมั่นคั่ง 75,445 ล้านบาท
อันดับ 3 นายนิติ โอสถานุเคราะห์ ทายาท บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) มีความมั่งคั่ง 49,377 ล้านบาท อันดับ 4 นายสมโภชน์ อาหุนัย แห่งบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) มีความมั่งคั่ง 48,874 ล้านบาท อันดับ 5 และอันดับ 6 ได้แก่ นางดาวนภา เพชรอำไพ ผู้ถือหุ้นบริษัทเมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) มีความมั่งคั่ง 40,680 ล้านบาท และนายชูชาติ เพ็ชรอำไพ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัดมูลค่า 40,997 ล้านบาท
อันดับ 7 นายพิชญ์ โพธารามิก ผู้ถือหุ้น บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) มีความมั่งคั่ง 36,207 ล้านบาท อันดับ 8 นายคีรี กาญจนพาสน์ เจ้าของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 36,127 ล้านบาท อันดับ, 9 นายอนันต์ อัศวโภคิน แห่งบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)มูลค่า 31,471 ล้านบาท และอันดับ 10 นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มูลค่า 27,821 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ฯมองว่า การที่นายสารัชถ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ GULF สามารถแซงนายปราเสริฐ ขึ้นมาเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 1 ของไทย เพราะราคาหุ้น GULF ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ขณะที่ ราคาหุ้น BDMS ราคาหุ้นไม่ได้ลดลง แต่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก
นอกจากนี้หุ้น GULF เองก็อยู่ในวัฏจักรการลงทุนของตลาดที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า จากการที่นักลงทุนมองหากลุ่มที่มีความปลอดภัย ผลการดำเนินงานที่มั่นคง และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ GULF ที่มีความสดใหม่กว่า BDMS ถูกให้ความสนใจมากกว่า ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นมีความแพงและเกินมูลค่าพื้นฐาน โดยอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (พี/อี) อยู่ที่ 104 เท่า สะท้อนถึงการเติบโตในอนาคตไปมากแล้ว แต่นักลงทุนต้องติดตามในช่วงปลายปีว่าราคาจะสามารถยืนอยู่ในระดับนี้ได้ และจะมีการสลับอันดับระหว่างอันดับ 1 และ 2 หรือไม่
มีโรงไฟฟ้าในมือ28 โรง
ปัจจุบัน GULF มีโรงไฟฟ้าอยู่ในมือที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างก่อสร้าง 28 โครงการ รวมกำลังการผลิตามสัดส่วนการถือหุ้นราว 11,124 เมกะวัตต์ และได้ขยายธุรกิจไฟฟ้าไปสู่ต่างประเทศ โดยการเข้าไปลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในโอมาน และใน CLMV จึงทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีโครงการที่กำลังศึกษาอีกหลายโครงการรวมถึงบริษัทยังได้เข้าไปคำนวณในดัชนีต่างๆ ทั้งฟุตซี่ และ MSCI ซึ่งก็ถือเป็นองค์ประกอบให้หุ้นของบริษัทเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น
ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา กัลฟ์ยังได้เข้ายื่นประมูลโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 มูลค่าโครงการราว 5.54 หมื่นล้านบาท ร่วมกับบริษัท พีทีทีแทงค์ฯ ในกลุ่มบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่าโครงการราว 8.4 หมื่นล้านบาท ร่วมกับพีทีที แทงค์ ถือหุ้นในสัดส่วนราว 30% ซึ่งเป็นไปตามคาดว่าจะเป็นผู้ชนะการประมูลทั้ง 2 โครงการ
“ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมามีหลายสาเหตุ โดยในแง่ของผู้บริหารบริษัทต้องมองว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทเติบโตได้อย่างมั่นคง และบริหารจัดการให้โรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดินเครื่องและจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงหาเครื่องมือทางการเงินที่จะทำให้ได้ต้นทุนที่ตํ่าลง” นายสารัชถ์กล่าว
BAหารูปแบบลงทุนใหม่
ขณะที่นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 นอกจากธุรกิจโรงพยาบาลและธุรกิจการบินที่ลงทุนมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ทั้งนี้BA มองหารูปแบบการลงทุนใหม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นดีกว่า ที่จะเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทได้ เพราะปัจจุบันธุรกิจสายการบินมีการแข่งขันสูงมาก จากรูปแบบการเดินทางเปลี่ยนไป ธุรกิจสายการบินไม่ใช่ตัวทำกำไรมากเหมือนแต่ก่อน
ล่าสุดมองการขยายการดำเนินธุรกิจดิวตี้ฟรีและธุรกิจบริการและพัฒนาสนามบิน โดยได้เข้าไปร่วมลงทุนกับล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี ของเกาหลีใต้เพื่อเข้าร่วมประมูลโครงการดิวตี้ฟรี สนามบินสุวรรณภูมิ แล 3 สนามบินภูมิภาคของทอท. แต่ได้แพ้ประมูล ขณะเดียวกันยังเข้าไปร่วมลงทุนกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ในการทำคอนซอร์เตียมในนามกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส (BBS Joint Venture) เพื่อเข้าร่วมประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก มูลค่าการลงทุนกว่า 2.9 แสนล้านบาท ซึ่ง BA ถือหุ้นราว 30% หรือใช้เงินลงทุนเบื้องต้นราว 3 หมื่นล้านบาท หากกลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ชนะการประมูล
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3484 วันที่ 4-6 กรกฎาคม 2562
