กกต.ตีตก5คำร้อง“เรืองไกร” พปชร.-บิ๊กตู่-อุตตม”เฮ

02 ก.ค. 2562 | 05:30 น.

กกต.ตีตก 5 คำร้อง“เรืองไกร”ทั้งปมเสนอชื่อ“บิ๊กตู่”ในบัญชีนายกฯ-ใช้สื่อออนไลน์ไม่เข้าข่ายเป็นกิจการสื่อ-ไม่เป็นจนท.อื่นของรัฐ-ระดมทุนโต๊ะจีน 3 ล้านแพงแต่ไม่ได้แสวงหากำไร-“อุตตม”นั่งหัวหน้าพรรคก่อนเป็นสมาชิกไม่ผิดไร้เหตุยุบพรรค เปิดทางหากมีหลักฐานใหม่ร้องเพิ่มได้

 

วันนี้ (2 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้มีหนังสือลงวันที่ 26 มิ.ย. แจ้งผลการพิจารณายกคำร้องใน 5 ประเด็นที่เกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปยังนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งเป็นผู้ร้องได้รับทราบ มีรายละเอียด ดังนี้

1.กรณีที่ขอให้กกต.ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นไปตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ.2561 ข้อ 90 และ ข้อ 91 โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่า การลงมติเพื่อเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ดำเนินการโดยชอบแล้ว มีการเสนอชื่อ 3 คน ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และนายอุตตม สาวนายน โดยในวันที่ 8 ก.พ. 62 ซึ่งเป็นวันที่พรรคพลังประชารัฐแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคมีมติเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อกกต.นั้น มีหนังสือยินยอมของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้เสนอชื่อได้ ดังนั้นการเสนอชื่อดังกล่าวจึงเป็นไปตามข้อบังคับพรรคข้อ 90 และข้อ 91 และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 13 และ14 รวมถึงระเบียบกกต.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 ข้อ 114และ 115 แล้ว            

                            กกต.ตีตก5คำร้อง“เรืองไกร” พปชร.-บิ๊กตู่-อุตตม”เฮ

2.กรณีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐซึ่งต้องห้ามมิให้เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่า กกต.มีมติไปแล้วว่าการประกาศชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 และมาตรา 89 รวมถึงพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 13 และ 14 แล้ว   

 

3.กรณี พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเฟซบุ๊ก อินสตราแกรม เว็บไซต์ เข้าข่ายเป็นเจ้าของกิจการสื่อ มีผลให้ต้องห้ามเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น กกต.มีมติแล้วว่ายังไม่ถือว่าเข้าข่ายเป็นเจ้าของกิจการสื่อมวลชน จึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160(6) และมาตรา 98(3) รวมถึงมาตรา 264    

4.กรณีพรรคพลังประชารัฐจัดกิจกรรมระดมทุนด้วยการขายโต๊ะจีนราคา 3 ล้านบาท ก็ไม่เข้าข่ายการแสวงหากำไรมาแบ่งปันกัน แม้จะกำหนดราคาโต๊ะจีนสูง แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เข้าร่วมกิจกรรมระดมทุน โดยกฎหมายได้จำกัดวงเงินผู้สนับสนุนเอาไว้แล้ว กรณีดังล่าวจึงไม่ใช่เป็นการขายสินค้าในลักษณะแสวงหากำไรมาแบ่งปันกัน ยังไม่เป็นเหตุให้ยุบพรรคการเมือง

 

 5.กรณีร้องว่านายอุตตม สาวนายน ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เห็นว่า มีการปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดตั้งแต่การจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง  จัดประชุมตั้งพรรคการเมืองในส่วนของผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรค จากนั้นเมื่อสภาพนิติบุคคลเกิดขึ้น เมื่อนายทะเบียนตอบรับการจดจัดตั้ง ก็มีการเปิดรับสมัครสมาชิกในวันที่ 8 พ.ย.2561  โดยนายอุตตม ได้ทำหนังสือแจ้งเรื่องการรับสมัครสมาชิกให้กกต.รับทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 5 วัน เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย.2561 และในวันดังกล่าวนายอุตตม ก็สมัครเป็นสมาชิกพรรคชำระค่าบำรุงตามที่กฎหมายกำหนด

ทั้งนี้ สำนักงานกกต.เคยตอบข้อสอบถามพรรคอนาคตใหม่ว่า ผู้ที่เข้าชื่อร่วมกันขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง และได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองจะเป็นสมาชิกต่อเมื่อได้ชำระค่าบำรุงพรรคแล้ว ดังนั้น การเป็นหัวหน้าพรรคของนายอุตตม จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว และไม่เป็นเหตุให้ยุบพรรคการเมืองแต่อย่างไร

ทั้งนี้นายทะเบียนพรรคการเมือง ยังแจ้งว่า หากนายเรืองไกร มีพยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่การพิจารณาซึ่งน่าจะทำให้ผลการพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมืองเปลี่ยนแปลงไปสามารถแจ้งให้พิจารณาได้