ตลาดทองคึกลุ้นนิวไฮทะลุ1,500ดอลลาร์

28 มิ.ย. 2562 | 23:20 น.

กูรูชี้ตลาดทองคำผันผวน ปรับฐานราคาขาขึ้น แนะถือทำกำไร 3-5 เดือน ค่ายแม่ทองสุกคาด มีโอกาสเห็นนิวไฮ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาส 3 ด้าน“ออสสิริส-สมาคมค้าทองคำ”มองครึ่งปีหลังจะสูงกว่า 1,200-1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จาก3 ปัจจัย“เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย,สงครามการค้า,สหรัฐฯ-อิหร่าน”หนุนนักลงทุนกลับเข้ามาถือทองคำ

ตลาดทองคำกลับมาคึกคักและเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้ง สะท้อนจากการซื้อขายทองคำเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ราคาผันผวนอย่างหนัก จนสมาคมค้าทองคำต้องแจ้งปรับเปลี่ยนราคาถึง 5 ครั้งในวันเดียว ทำให้ล่าสุดทองคำแท่งขายออกอยู่ที่บาทละ 20,450 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกอยู่ที่บาทละ 20,950 บาท

ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นถึง 20.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อปิดการซื้อขายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ได้รับแรงหนุนจาก 2 ประเด็นหลักคือ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ท่ามกลางการคาดการณ์เต็ม 100% ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า และที่น่าสนใจคือ เทรดเดอร์มองว่า เห็นโอกาสมากกว่า 40% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 0.50% สถานการณ์ดังกล่าวกดดันดอลลาร์จนเพิ่มความน่าดึงดูดของทองคำ

ตลาดทองคึกลุ้นนิวไฮทะลุ1,500ดอลลาร์

 

อีกประเด็นหนึ่งที่หนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยคือ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯนายโดนัล ทรัมป์ ลงนามคำสั่งประกาศควํ่าบาตรต่อผู้นำสูงสุดของอิหร่าน และยังได้ควํ่าบาตรต่อผู้นำทางกองทัพของอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับการยิงขีปนาวุธโจมตีโดรนของสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปัจจัยดังกล่าวหนุนให้ราคาทองคำทะยานขึ้น และทำให้ราคาทองคำในตลาดเอเชียแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 ปีครั้งใหม่อีกด้วย

ตลาดทองคึกลุ้นนิวไฮทะลุ1,500ดอลลาร์

บุญเลิศ สิริภัทรวณิช

นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จํากัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ขณะนี้ถือว่า ทองคำเป็นตลาดกระทิงโดยสมบูรณ์แล้ว จากนี้ไปราคาทองคำจะเป็นขาขึ้นระยะยาวได้และเชื่อว่าครึ่งปีหลังราคาจะเคลื่อนไหวสูงกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่ในกรอบ 1,200-1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ เฟดส่งสัญญาณจะปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้และปีหน้า บวกกับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยังไม่มีข้อสรุป จึงเป็นประเด็นกดดันตลาดต้องหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในการลงทุน ซึ่งหมายถึงทองคำด้วย นอกจากนี้ปัญหาระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์กับอิหร่านยังเป็นปัจจัยระยะกลางที่ต้องติดตามพัฒนาการข้างหน้าด้วย

“ดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่ายังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น ซึ่ง 3 ปัจจัยหลักที่เกิดขึ้นพร้อมกันกดดันราคาทองคำอาจไปถึง 1,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากแนวรับ 1,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งในส่วนที่เป็นเงินบาทนั้นอาจจะเป็นโชคดีสำหรับนักลงทุนเมืองไทยที่ราคาทองคำยังไม่แพงจนเกินไป เพราะเงินบาทที่แข็งค่าเป็นตัวช่วยอยู่” 

นายกฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS GOLD แม่ทองสุกกล่าวว่า ช่วงที่เหลือปีนี้ ราคาทองคำยังผันผวนระหว่างทางต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงคือ ปัจจุบันถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม ไตรมาส 2 และไตรมาส3 ซึ่งทั้ง 3 ช่วงขึ้นกับ 3 ปัจจัยที่จะมีผลต่อการปรับขึ้นหรือปรับลงของราคาทองคำคือ ท่าทีของเฟด ตามด้วยสถานการณ์สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่ยังสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลกและตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาทุกเดือนยังบ่งชี้ความอ่อนแอของเศรษฐกิจภาพรวม ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยกดดันดอลลาร์สหรัฐฯค่อยๆอ่อนค่าและจะเห็นชัดภายใน 8 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม หากย้อนหลังปี 2555 เฟดมีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียวต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองคำร่วงที่เคยทำจุดสูงสุด (New High) อยู่ที่ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากนั้นราคาทองคำค่อยๆ ปรับร่วงมา ทั้งนี้ในเชิงเทคนิคนั้น ราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ 1,355 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ราคาทองคำปรับเพิ่มโดยประมาณ 135 ดอลลาร์(คำนวณจาก 1,275 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็น 1,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์)หรือราคาปรับเพิ่มเกือบ 3%

“ส่วนตัวมองระยะสั้นถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม ราคาทองคำยังเพิ่มขึ้น และราคาทองคำยังบวกต่อไตรมาส 2 ถ้าเฟดลดดอกเบี้ยลง ทั้งเดือนกรกฎาคมและธันวาคมรวม 2 ครั้งเท่ากับ 0.50% และปีหน้าดอกเบี้ยเฟดจะอยู่ที่ระดับ 1.75% จึงมีโอกาส เห็นราคาทองคำทำสถิติระดับสูงสุดใหม่ในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และไตรมาส 4 ราคาจะมากกว่า 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีนและญี่ปุ่นอ่อนตัวราว 0.3-0.5% จึงแนะนำ ทองคำยังเป็น Safe Haven โดยราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นอย่างน้อยถึงสิ้นปีนี้”

นายกฤชรัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อเฟดปรับลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องตามคาดการณ์นั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ของไทยคงจะต้องทบทวนท่าทีก่อนสิ้นปี โดยในการประชุมวันที่ 26 มิถุนายนนี้กนง.น่าจะส่งสัญญาณว่า จะปรับลดดอกเบี้ยลง ไม่เช่นนั้นเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งทุกวันจะมีเงินทุนไหลเข้ามา เพื่อกินกำไรส่วนต่างดอกเบี้ย จึงต้องประคองเงินบาทไม่ให้แข็งค่าไปกว่านี้ 

 

หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,482 วันที่ 27 - 29 มิถุนายน พ.ศ. 2562