อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์แนะวิธีปลดหนี้สหกรณ์เกษตรกว่า 1.75 แสนล้านบาท
กรมส่งเสริมสหกรณ์ หาแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินสมาชิกสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศกว่า 1.75 แสนล้านบาท เสนอทางออกปรับเปลี่ยนการทำเกษตร ปลูกพืชที่ตลาดต้องการทำน้อยแต่ได้มาก เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยว่า ทางกรมเตรียมผลักดันโครงการส่งเสริมการเพิ่มรายได้ให้กับสมาชิกสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ เสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับสมาชิกสหกรณ์ให้มากขึ้นเพิ่มเติมจากรายได้จากปลูกพืชชนิดเดียวหรือรอรายได้จากการเก็บเกี่ยวผลผลิตปีละเพียงหนึ่งครั้ง ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ไม่พอจ่าย กระทบต่อการชำระหนี้คืนสหกรณ์หรือสถาบันการเงิน โดยโครงการดังกล่าวให้แต่ละสหกรณ์ไปหาแนวทางในการส่งเสริมรายได้ให้สมาชิกและสำรวจดูว่าสมาชิกมีความต้องการทำอาชีพอะไร เพื่อที่จะได้ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่จากนั้นกรมจะช่วยเหลือในเรื่องทุนให้กับสมาชิกผ่านสหกรณ์ พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการปรับเปลี่ยนอาชีพทำการเกษตร ปลูกพืชที่ตลาดมีความต้องการ และได้ราคาดีกว่า
“ขณะนี้กรมได้จัดประชุมรับฟังปัญหาจากสหกรณ์การเกษตรทั้ง 5 ภาคทั่วประเทศ คาดว่าในเดือนกรกฎาคมจะสรุปปัญหาและแนวทางในการแก้ไขได้ชัดเจน หากมีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับธ.ก.ส. ก็จะนำข้อมูลทั้งหมดมาหารือเพื่อแก้ไขร่วมกัน เบื้องต้น พบว่าสาเหตุสำคัญที่สมาชิกไม่ชำระหนี้หรือค้างชำระหนี้สหกรณ์ เพราะรายได้ไม่เพียงพอ หรือประสบปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง พื้นที่การเกษตรและผลผลิตเสียหาย จึงได้เชิญชวนสหกรณ์การเกษตรมาหาทางออกร่วมกัน ว่าจะพักชำระหนี้หรือชะลอหนี้ไว้ระยะหนึ่งก่อน และส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชีพที่สามารถทำรายได้ จากการทำการเกษตร เพื่อนำรายได้มาชำระหนี้คืนสหกรณ์ ไม่ใช่นำเงินจากส่วนอื่นหรือไปกู้เงินมาชำระหนี้แทน" นายพิเชษฐ์กล่าว
ที่ผ่านมา สหกรณ์ส่วนมากเน้นธุรกิจปล่อยกู้ มากกว่าส่งเสริมการสร้างรายได้ให้สมาชิก โครงการนี้จะมาตอบโจทย์ ซึ่งกรมได้จัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์(กพส.) ปล่อยกู้สหกรณ์ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการ โดยให้สหกรณ์ทำแผนส่งเสริมอาชีพสมาชิกเสนอเข้ามา เพื่อนำเงินไปปล่อยให้สมาชิกสหกรณ์กู้ ไม่เกิน 20,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เพื่อให้สมาชิกนำไปสร้างอาชีพใหม่เพื่อสร้างรายได้ และมีเงินเหลือมาส่งชำระหนี้คืนสหกรณ์
ด้านนายสุพิทยา พุกจินดา ผู้เชี่ยวชาญกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ต้องเร่งเดินหน้าโครงการเพิ่มรายได้ให้กับสหกรณ์ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้เสียของสหกรณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากพบว่า เงินในระบบสหกรณ์ทั้งประเทศมีประมาณ 2 ล้านล้านบาท แต่พบว่า ปี 2560 สมาชิกมีหนี้ร่วม 175,063 ล้านบาท โดยหนี้สมาชิกทั้งหมดเป็นหนี้ปกติ 133,445 ล้านบาท และเป็นหนี้ NPL 41,618 ล้านบาท
"สิ่งที่น่ากังวลคือ หนี้ NPL ของสหกรณ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2558 เอ็นพีแอล 31,367 ล้านบาท ปี ปี 59 เอ็นพีแอล 36,848 ล้านบาท ปี 60 เอ็นพีแอล 40,996 ล้านบาท เพราะฉะนั้นขณะนี้ต้องร่วมกันคิดหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน และพัฒนาด้านอาชีพเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เข้ามา เพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ให้กับสมาชิกสหกรณ์” นายสุพิทยากล่าว
นอกจากนั้นพบว่าสหกรณ์การเกษตร มีเงินออมประมาณ 20,788 บาทต่อคนต่อปี ขณะที่มีหนี้สิน 27,759 บาท ติดลบ 6,971 บาท ต่อคนต่อปี สหกรณ์ประมง เงินออม 20,252 บาท หนี้สิน 39,562 บาท ติดลบ 19,310 บาทต่อคน สหกรณ์นิคม เงินออม 20,306 บาท หนี้สิน39,855 หนี้สิน 15,548 บาทต่อคน กลุ่มเกษตรกร เงินออม 2,751 บาท หนี้สิน 5,442 บาท ติดลบ 2,691 บาทต่อคน
นายสุทิน ปันดี ผู้จัดการสหกรณ์ผู้ใช้น้ำฝายยางประสบสุก จำกัด เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับแนวทางของกรมที่จะส่งเสริมการเพิ่มรายได้ให้กับสมาชิก เพราะส่วนตนเดิมเข้ามาที่สหกรณ์แห่งนี้ ปี 2543 ก็พบปัญหามากท้อแท้มาก สหกรณ์ไม่มีรายได้ ปล่อยกู้ เก็บหนี้ไม่ได้ เมื่อ 10 ปีก่อนปล่อยกู้ 2 ล้านบาท เก็บหนี้ยาก โดนต่อว่าว่าสหกรณ์ไม่หารายได้เลย หลังจากเราทุ่มเททำงาน ที่จะส่งเสริมอาชีพให้มั่นคง ให้เกษตรกรอยู่ได้ เรามุ่งเน้นสร้างรายได้ส่งเสริมอาชีพ สหกรณ์ปลูกพืชเศรษฐกิจ 9 ชนิด
เช่น ข้าวโพด ปาล์ม มันสำปะหลัง ถั่ว และกรณีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เริ่มปลูกข้าวโพด ขณะนั้นสมาชิกไม่มั่นใจเพราะเป็นสหกรณ์เล็ก จึงนำร่องในกลุ่มกรรมการ 50 ไร่ เมื่อมีรายได้เกษตรกรเริ่มทำตามขยับเป็นพันไร่ และ 4 พันไร่ และปัจจุบันที่เข้าโครงการ 9 พืช พืชเศรษฐกิจ ทำให้สมาชิกมีรายได้จากการขายผลผลิตมีรายได้ ทำให้สมาชิกมีเงินมาฝากถึง 30 กว่าล้านบาท ต่อไปจะทำเมล็ดพันธุ์พืช เช่น ข้าว เป็นต้น
