อดีตของ ‘พรรณิการ์’ ปัจจุบันทำไมเป็น ‘อีช่อ’

22 มิ.ย. 2562 | 04:42 น.

คอลัมน์ทางออกนอกตำรา ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3481 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 23-26 มิ.ย.2561 โดย...บากบั่น บุญเลิศ

 

อดีตของ ‘พรรณิการ์’

ปัจจุบันทำไมเป็น ‘อีช่อ’

 

                ผมแทบไม่เชื่อว่าเรื่องราวของ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งที่ไม่เคยมีใครรู้จักสักเท่าไหร่ พอเข้าสู่เวทีการเมืองจะทำให้ผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้สะท้านสะเทือนใน topic ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เธอคือ “น.ส.พรรณิการ์ วานิช” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่

                ตอนที่ ส.ส. ปารีณา ไกรคุปต์ ด่าในสภา อีช่อ ผมก็ว่า ส.ส. ปารีณา สร้างวาทกรรมแห่งความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม

                หลังจากนั้นแทบไม่น่าเชื่อว่า ส.ส.ผู้หญิงคนหนึ่ง จะสามารถสร้าง public agenda” ขึ้นมาจากพฤติกรรมของตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง

                ขณะที่ผู้คนก็สืบสาวไปยังเรื่องราวของเธอกันหนักหน่วง เรื่องที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยทราบก็โผล่ขึ้นมาในชีวิตประจำวันของผม ของคุณ อยู่ตลอดเวลาผ่านทางโลกโซเชียลมีเดีย ชนิดที่ข้อมูลข่าวสารวิ่งมากระแทกใส่มือเราทุกวัน

                พฤติกรรมของ “พรรณิการ์” ในอดีต กำลังไล่ล่าเธอที่กลายเป็น “อีช่อ” ในปัจจุบันอย่างไม่ลดละ ไม่ระย่นย่อ

                ทำไมเป็นเช่นนั้น เพราะพฤติกรรมของพรรณิการ์ แนวคิดของคุณช่อ อีช่อ ที่พลิกผันจาก Nobody เป็น Some body บุคคลสาธารณะในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทยนั้น เดินหน้าไปสู่การทำลายปูชนียบุคคล สถาบันอันเป็นที่เคารพบูชาของคนไทย

                ด้วยพฤติกรรมของเธอ ผู้คนจึงเกาะติดด้วย “ความชัง” มิใช่ความชอบ

                แร่ย่อมไหลไปหาแร่ สายแร่ทองคำย่อมไหลไปหาแร่ทองคำ มิยอมไหลไปผสมปนเปื้อนกับเหล็กเด็ดขาดฉันใดฝนตกขี้หมูไหลคนจัญไรมาพบกัน ก็ฉันนั้นจริงๆ

                “พี่คนดี” เพจดังเปิดสติด้วยบทกลอนให้ทางถอยไว้อย่างน่าทึ่งว่า...ไม่ผิดที่จะคิดต่าง แต่น่าจะผิดที่มาตอแหลว่าคิดไม่ต่าง เพื่อขอคะแนนเสียง แล้วก็อ้างคะแนนเสียงนั้น เก่งกล้าจริงก็แสดงเจตนารมณ์ที่แท้จริงออกมาให้ชัดๆ ไปเลย แล้วดูว่าจะเหลือเท่าไร อย่ามาหลอกคนที่ไม่ทราบเจตนาของพวกท่าน ให้หลงผิดไปร่วมด้วย ใครที่ต้านเผด็จการเฉยๆ อย่าหลงผิดไปกับคนพวกนี้เลยครับ ส่วนใครที่คิดต้านเจ้าด้วย ก็อย่าหลงผิดไปกับคนพวกนี้เช่นกัน เพราะพวกนี้สุดแสนจะตอแหล และขี้ขลาด

“เผลอไผล” “มีใจ” หรือ “ตั้งมั่น”

พวก “เผลอไผล” ไปชื่นชม พวกล้มโค่น

ตกบันได พลอยโจน พอแก้ไข

ยังไม่สาย จงยอมรับ แล้วกลับใจ

เป็นคนไทย ไม่คลุ้มคลั่ง ชังราชา

พวก “มีใจ” ใฝ่นิยม พวกล้มโค่น

เลิกด่าว่า พวกข้า “โหน” ได้แล้วหนา

อย่าทำเป็น ไม่เห็นเหตุ เจตนา

ที่มันแทบ จะทิ่มหน้า อยู่แล้วเอย

พวก “ตั้งมั่น” ในจริต คิดล้มโค่น

สมคบโจร อย่า “แกล้งงง” จงเปิดเผย

ให้รู้ไป ว่าคนไทย จะชมเชย

หรือจะเกลียด เหยียดเย้ย

เสยปลายคาง.....

 

                แต่ดูเหมือนพรรณิการ์ในอดีตและอีช่อ ในปัจจุบันจะมิเข้าใจ เธอใช้เวลา 2 สัปดาห์เศษที่หายตัวไปจากสปอร์ตไลต์ หลังจากเรื่องราวของเธอในอดีตโผล่มากระแทกเธอในปัจจุบันว่า “ไม่ได้มีแนวคิดสุดโต่ง และตอนนี้ความคิดก็เปลี่ยนไปมากแล้ว ทั้งยังขอโทษที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสื่อสังคมออนไลน์ เพราะมันไม่ได้ส่งผลต่อตัวช่ออย่างเดียว ส่งผลถึงครอบครัว ถึงเพื่อน... พ่อแม่และเพื่อนของเรา ไม่สมควรที่จะมารับผิดชอบต่อการตัดสินใจของเรา”

                ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ฝ่ายที่เป็นประชาธิปไตย หัวก้าวหน้ามักจะถูกสกัดกั้นทางการเมืองด้วยข้อหานี้ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ตัวได้เลย แม้จะทำได้ แต่บั้นปลายชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือทางสังคมหมดแล้ว อีกทั้งยังมีโทษหนัก จึงอยากขอร้องว่า อย่านำสถาบันพระมหากษัตริย์มาโจมตีทางการเมือง เชื่อว่าประเทศไทยมีจุดยืนร่วมกันแล้วเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ พรรคอนาคตใหม่ตัดสินใจเข้ามาทำงานทางการเมืองในระบอบรัฐสภา ย่อมชัดเจนแล้วว่าพรรคอนาคตใหม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การทำงานในรัฐสภาต้องเดินไปทางนี้ “พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ใช่สุดโต่ง แต่ในตอนนั้นนิสิตนักศึกษาต่อต้านการรัฐประหาร แต่ถูกป้ายสีว่าไม่จงรักภักดี โดยไม่มีทางแก้ตัว จนถูกสังคมตัดสินไปแล้ว” เธอให้สัมภาษณ์

                ส่วนเรื่องการโพสต์ภาพถือตราสัญลักษณ์เกี่ยวกับราชวงศ์ พร้อมสวมหมวกของชาวเวียดนาม โดยเขียนบรรยายว่า “เวียดนามยุค พรี โฮจิมินห์” จนถูกตีความไปอย่างกว้างขวาง เรื่องที่ช่อทำ แม้จะเกิดขึ้นในอดีต แต่ก็มีคนไปแจ้งความดำเนินคดีเอาไว้แล้ว

                ไม่ว่าผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกมาอย่างไร จะมีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับ ช่อ-พรรณิการ์ หรือไม่ พรรคอนาคตใหม่ และ “พรรณิการ์” จะกลายเป็นตำบลกระสุนตกของจริงอย่างแน่นอน

                ทำไมเป็นเช่นนั้น เพราะเรื่องราวในอดีตมันจะสะท้อนภาพจริงในปัจจุบัน ภาพที่สะท้อนออกมาจากพฤติกรรมของผู้คนมันจะติดตัวและจะแสดงออกมาจากตัวตนของคนนั้นๆ ในทางพฤติกรรมศาสตร์นั้น เพียงแค่มนุษย์คนใดกระทำเรื่องใดซํ้าๆ ติดกัน ต่อเนื่องเพียงแค่ครบ 21-30 วัน ก็เพราะสร้างสิ่งเหล่านั้นให้เป็นนิสัย และเมื่อนิสัยนั้นติดตัวไปและมีการกระทำซํ้าๆ หลายคราก็จักกลายเป็นสันดาน

                พฤติกรรมของอดีตเปรียบเสมือนกับโลหะที่ขัดจนมัน สามารถสะท้อนแสงได้ การใช้โลหะที่ขัดมันทำเป็นกระจกส่องตัว จึงมีมาตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมีย เมื่อราว 6 พันปีมาแล้วโน่น เพื่อบ่งบอกว่าอดีตหากทำซ้ำจะกลายเป็นของติดตัวในปัจจุบัน

                ผมขอยกคำของ ภิญโญไตรสุริยธรรมา คนรุ่นพี่ของช่อว่า“การจะเดินไปสู่อนาคตได้ มันต้องทิ้งอดีตก่อน อดีตเป็นภาระที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติ ถ้าคุณแบกอดีตไว้ คุณเดินลอดผ่านประตูสยามพารากอนไปไม่ได้ อดีตมันเยอะ มันใหญ่ ฉะนั้นปัจจัยที่เป็นภาระ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงตัวเองก็คือตัวเอง”

                แต่หัวใจข้อแรกของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณต้องพร้อมจะเคลื่อนที่ตัวเองออกจากจุดที่เราปลอดภัยที่สุด จุดที่เราเคยอยู่ เคยมี เคยเป็นมา เมื่อคุณเคลื่อนที่ตัวเองออกจากจุดนั้น ออกจาก Point นั้น สิ่งที่จะเปลี่ยนตามมาคือ Point of View จุดที่คุณยืนแล้วมองโลกไป จะต้องเปลี่ยนไปด้วย

                คำถามผมที่ส่งความปรารถนาดีไปยังคุณพรรณิการ์ในอดีตและอีช่อในปัจจุบัน คุณช่อเปลี่ยน Pointof View หรือยัง ถ้ายังแสดงว่าเธอยังไม่รู้และมีสันดานเดิม และพฤติกรรมเดิมของเธอจะกัดกร่อนเธอจนหนักแน่นอน

                ยิ่งถ้าเดินหน้าตามพรรคอนาคตใหม่ที่เดินหน้าผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยเฉพาะในหมวด 2 หมวดพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่มาตรา 6-24 เพื่อปฏิรูปการปกครองประเทศให้เดินไปตามรูปแบบของประเทศญี่ปุ่น เมื่อใด แผ่นดินไทยจะไม่มีถิ่นที่ให้คนเหล่านี้ยืนหยัดแน่นอน...