ทีมสู้คดีปมถือหุ้นสื่อจ่อร้องศาลขอคุ้มครองชั่วคราว

19 มิ.ย. 2562 | 09:59 น.

หน.ทีมสู้คดีหุ้นสื่อพปชร. รุดเข้าศาลรธน.ตรวจสำนวน 27 ส.ส. โดนร้อง จ่อยื่นขอคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ อ้างกระทบงานสภาฯ –รัฐบาล ยัน ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน อย่าเทียบคดีธนาธร   ด้านที่ประชุมศาลรธน ยังไม่พิจารณาปมหุ้นสัมปทาน 4 รมต.-41 ส.ส.ถือหุ้นสื่อ

 

19 มิถุนายน - นายทศพล เพ็งส้ม หัวหน้าทีมต่อสู้คดีหุ้นสื่อ 27 ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้าตรวจสำนวนคำร้องที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า 41 ส.ส.ที่ถือครองหุ้นสื่อเข้าข่ายทำให้ขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งส.ส.หรือไม่ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

นายทศพล กล่าวการมาตรวจสำนวนครั้งนี้เพื่อจะได้รู้ว่า สภาฯส่งเอกสารอะไรมาบ้างเพื่อจะได้วางแผนการต่อสู้ได้ถูกซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการแบ่งกลุ่มคดี ออกเป็น กลุ่มคดีที่มีความเสี่ยง กลุ่มคดีกลางๆ และกลุ่มคดีที่มีความคาบเกี่ยวกัน เนื่องจากวิธีการต่อสู้ในแต่ละกลุ่มคดีไม่เหมือนกัน

ขณะเดียวกันทางพรรคได้มีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันถึงวิธีการต่อสู้คดี ในกรณีของส.ส.พรรคนั้นถูกยื่นร้องและจะมีการยื่นร้องส.ส.ของ 7 พรรคฝ่ายตรงข้ามที่มีการถือหุ้นสื่อซึ่งจะมีอีกทีมงานหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการ

นายทศพล กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่กลัวเรื่องส.ส.ถือหุ้นสื่อ คือ เมื่อศาลรับคำร้องแล้วจะสั่งให้ส.ส.ที่ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ เป็นโจทย์ใหญ่ที่คณะทำงานต้องหาเหตุผลมาแสดงต่อศาลฯว่า 27 ส.ส.ของพรรคพปชร.ไม่เหมือนกับกรณีอื่นจึงไม่ควรที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ 

ทีมงานจึงได้ศึกษาทั้งการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญของกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาตัดสิทธิ นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัครส.ส.พรรคอนาคตใหม่ จ.สกลนคร และนายคมสัน ศรีวนิชย์ ผู้สมัครส.ส.พรรคประชาชาติ จ.อ่างทอง ที่มีความแตกต่างกันมาพิจารณาดูว่า ข้อเท็จจริงในคดีมีประเด็นใดบ้างที่ศาลรับฟังและไม่รับฟัง เช่น เรื่องของการจดทะเบียนวัตถุประสงค์บริษัทที่หลายคนมีการต่อสู้ว่า ใช้แบบฟอร์มสำเร็จรูปของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งถ้าเป็นแบบฟอร์มของกระทรวงฯจริงก็ควรเป็นแบบพิมพ์มาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่ในแบบฟอร์มข้อที่ระบุว่า ทำสื่อกลับอยู่ในลำดับที่แตกต่างกัน ซึ่งรายละเอียดแบบนี้ยากมากในการต่อสู้ เพราะส.ส.พรรคพปชร.บางคนมีถึง 3-4 บริษัท ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องมีเอกสารราชการตรวจสอบก็ได้แจ้งให้ส.ส.แต่ละคนทำรายละเอียดออกมา

บางคนไม่เข้าใจอ้างว่า กรอกไปตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำซึ่งในความเป็นจริงอยู่ที่ตัวเราว่า จะจดทะเบียนอย่างไร บางคนเลือกจดไปก่อน ทำหรือไม่ทำก็เป็นอีกเรื่องจึงทำให้เกิดปัญหา โดยศาลฎีกา มองว่า เมื่อคุณจดทะเบียนวัตถุประสงค์ไว้เท่ากับมีวัตถุประสงค์จะทำสื่อทำให้ขัดรัฐธรรมนูญ

อีกทั้งกรณีนี้ยื่นผ่านประธานสภาฯซึ่งก็ทำหนังสือส่งต่อมาที่ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีรายละเอียดของพยานหลักฐาน ไม่เหมือนกับคดีที่ร้องผ่านกกต. ที่กกต.จะมีการตรวจสอบว่า โอนหุ้นวันไหน โอนหุ้นเมื่อไหร่ จ่ายเงินเมื่อไหร่

ดังนั้น เมื่อคดีมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ ศาลก็จะต้องวางมาตรฐานว่า ระหว่างวัตถุประสงค์ที่ระบุในเอกสารราชการกับสิ่งที่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง อะไรฟังได้ ไม่ได้

คาดว่า ไม่เกินสัปดาห์หน้าพรรคก็จะยื่นคำร้องพร้อมเหตุผลเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้สั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ของ 27 ส.ส. เพราะถ้าหากศาลสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่จะทำให้เกิดผลกระทบกับการทำงาน ไม่ใช่แค่กระทบถึงการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.เท่านั้นแต่ยังกระทบต่อการบริหารงานของรัฐบาลด้วยเพราะว่ารัฐบาลยังไม่มีการแถลงนโยบายต่อสภาฯ

“ผมมีหน้าที่ทำอย่างไรก็ได้ให้ 27 ส.ส.ยังสามารถทำหน้าที่อยู่จนจบภารกิจ ไม่อยากให้สังคมเอาไปเปรียบเทียบกับกรณีศาลสั่งให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หยุดปฏิบัติหน้าที่ แล้ว 41ส.ส.ศาลต้องสั่งหยุดด้วย ไม่ใช่เรื่องสองมาตรฐานเพราะการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในหลายคดีไม่เหมือนกัน

บางคดีศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะเกรงว่าจะมีปัญหาต่อการประชุมสภาฯแต่ของเรามันจะเกิดปัญหาทางลบยิ่งกว่า คือ รัฐบาลจะไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายได้เพราะขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อสภาฯจึงจะไปเทียบกับกรณีของธนาธรไมได้ เป็นคนละเรื่องกัน อย่าเอามารวมกัน กรณีหุ้นสื่อของ 41 ส.ส.ที่ถูกพรรคอนาคตใหม่ยื่นต่อประธานสภาฯอาจจะคล้ายกัน คือ ถือหุ้นสื่อแต่ข้อเท็จจริงไม่เหมือนกัน” นายทศพล ระบุ

ทั้งนี้ ผู้สือข่าวยังรายงานด้วยว่า วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการประชุมเมื่อเวลา 13.30น. และเลิกประชุม เมื่อ 15.20น. โดยที่ประชุมได้พิจารณาวาระทั่วไปและคดีอื่นๆ แต่ไม่ได้พิจารณากรณีความเป็นรัฐมนตรีของ 4 รัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องจากถือครองหุ้นบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ รวมทั้งคดี 41 ส.ส.ถือหุ้นสื่อด้วย