ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประสานเสียงส่งถึงรัฐบาลใหม่เร่งปรับเกณฑ์พิจารณาสินเชื่อ ชี้เป็นโอกาสขยายธุรกิจ พร้อมเร่งหาช่องทางประชาสัมพันธ์โครงการให้เอสเอ็มอีรับทราบได้อย่างทั่วถึง ระบุโครงการที่ทำมาดีแล้วให้มีต่อเนื่อง
นายจตุพร จันทรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอล มารีน โฟรเซ่น ฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็งแบรนด์ “ชิมชิว” (ShrimpChew) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เรื่องสำคัญที่ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) คือเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อ เนื่องจากหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อในปัจจุบันของสถาบันการเงินยังไม่เอื้อให้กับเอสเอ็มอีเท่าใดนัก ส่งผลทำให้ขาดโอกาสในการขยายตลาด เพื่อการเติบโตของธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเลแช่แข็ง โดยส่วนใหญ่จะเน้นเป็นกุ้ง ทำให้ไม่สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ แม้ว่าบริษัทจะมีการแตกไลน์ธุรกิจไปสู่อาหารประเภทอื่นมากขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการกุ้งส่งออก เพราะมองว่ากุ้งมีราคาสูงกว่าประเทศอื่น แต่บริษัททำธุรกิจในประเทศก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะฉะนั้น จึงต้องการให้มีการปรับหลักเกณฑ์ หรือให้พิจารณาลงลึกถึงรายละเอียดของธุรกิจมากกว่านี้ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโต
“หากสามารถขอสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจได้ จะทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากบริษัทต้องการลงทุนเครื่องจักร เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มกำลังผลิตทดแทนแรงงานบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวจากประเทศเมียนมาโดยที่ผ่านมากลุ่มแรงงานดังกล่าวได้เดินทางกลับไปทำงานในประเทศของตนเองเป็นจำนวนมาก จากความต้องการแรงงานในประเทศ ซึ่งบริษัทก็ได้รับผลกระทบด้วยจากเดิมที่มีแรงงานอยู่ 350 คน ปัจจุบันเหลือเพียง200 เท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม โครงการ หรือมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามช่วยสนับสนุนเอสเอ็มอีนั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ควรที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะต้องทำการศึกษาความต้องการของเอสเอ็มอีแต่ละกลุ่มเพิ่มมากขึ้น เพื่อจัดทำมาตรการช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด
นายมงคล คงสุขจิร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี พีล โล 999 (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นใย และผลิตภัณฑ์จากผ้าต่อต้านแบคทีเรียแบรนด์ “D pillow” กล่าวว่า สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรจะต้องเร่งดำเนินการให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าใดนักในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลอาจจะต้องหาวิธีการปรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ ซึ่งเข้าใจว่าหากจะต้องมาพิจารณาเป็นรายกรณีอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่เชื่อว่าน่าจะมีแนวทางที่จะสามารถทำได้
นอกจากนี้ ปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องของการประชา สัมพันธ์โครงการของรัฐบาลเพื่อเอสเอ็มอี เพราะเท่าที่พบจากประสบการณ์จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่ามีเอสเอ็มอีจำนวนไม่มากที่รู้ข้อมูลข่าวสาร แม้ว่ารัฐบาลจะมีโครงการ และงบประมาณสนับสนุนมากมายจากหลายหน่วยงานก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ล่าสุดตนกำลังจะได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดในรูปแบบของ ซอสทุเรียน สำหรับรับประทานกับขนมปัง หรือเป็นท็อปปิ้งให้กับอาหารประเภทต่างๆ โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลในเรื่องของการวิจัยประมาณ 5.3 แสนบาท หลังจากนั้นก็จะได้รับงบส่งเสริมอีก 1.3 ล้านบาทหลังจากที่งานวิจัยเสร็จเรียบร้อยจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์
“ที่บริษัทสามารถเข้าถึงงบประมาณสนับสนุนดังกล่าวได้ เพราะอยู่ในกลุ่มของเอสเอ็มอีที่เกี่ยวกับนวัตกรรม ซึ่งจะมีการส่งต่อข้อมูลข่าวสารกันตลอดภายในกลุ่ม โดยพบว่ามีโครงการหรือการประชุมสัมมนามากมายในแต่ละวัน เพียงแต่จะรับทราบกันเฉพาะแค่ในกลุ่ม เอสเอ็มอีที่อยู่นอกกลุ่มจะไม่รับรู้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะต้องหาวิธีประชา สัมพันธ์อย่างไรให้เอสเอ็มอีได้รับทราบ โดยเฉพาะจากกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมีโครงการดีๆอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เอสเอ็มอียังเข้าไม่ถึง”
สอดคล้องกับความคิดเห็นของนางสาวมนัสชญาณ์ อู่สมบัติชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีไลท์88 จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายก๋วยจั๊บอุบลกึ่งสำเร็จรูปแบรนด์ “จั๊บจั๊บ”ที่ระบุว่า สินเชื่อเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเอสเอ็มอี ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีส่วนใหญ่จะเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ เนื่องจากข้อจำกัดหรือหลักเกณฑ์ที่ไม่เอื้ออำนวย เพราะฉะนั้นจึงมองว่ารัฐบาลควรที่จะต้องเข้ามาดูแล และศึกษาธรรมชาติของเอสเอ็มอีอย่างถ่องแท้ เพื่อการดำเนินมาตรการช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด และเหมาะสม
“ตนเคยเข้าร่วมโครงการจากภาครัฐโครงการหนึ่ง โดยต้องการขอสินเชื่อเพื่อนำมาลงทุนเครื่องจักรใหม่ แต่กฎเกณฑ์ก็คือเอสเอ็มอีต้องลงทุนเครื่องจักรไปก่อนจึงจะสามารถนำมาเบิกเงินไปได้ ซึ่งเท่าที่ทราบเอสเอ็มอีหลายรายก็ต้องโดนเงื่อนไขเดียวกัน โดยตามหลักความเป็นจริงแล้วหากมีเงินลงทุนก็คงไม่ต้องไปขอกู้เพื่อให้เสียดอกเบี้ย แต่เพราะไม่มีจึงต้องกู้ หรือหากจะต้องรอเก็บเงินให้ครบเพื่อลงทุน เครื่อง จักรตัวนั้นก็คงล้าสมัยไปแล้ว โดยเรื่องดังกล่าวนี้ทำให้เสียโอกาสทางการค้าเป็นอย่างมาก”
หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3480 วันที่ 20-22 มิถุนายน 2562