รับมือวิกฤติน้ำมันตะวันออกกลาง พลังงานยันมีใช้ได้ถึง 50 วัน เตือนผู้ค้าห้ามฉวยโอกาสปรับราคาขายปลีก
“ศิริ”ถกด่วน เตรียมรับมือวิกฤติน้ำมันในตะวันออกลาง หลัง เหตุการณ์โจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในอ่าวโอมาน หวั่นอิหร่านปิดช่องแคลฮอร์มุซ ทำน้ำมันดิบหาย 19 ล้านบาร์เรลต่อวัน ยืนยันไทยมีสำรองน้ำมันรวมใช้ได้ 50 วันและก๊าซหุงต้มครัวเรือน(LPG)อีก 20 วัน หากเกิดวิฤติ และมีเงินกองทุนน้ำมันฯพยุงไม่ให้ราคาพุ่งขึ้นรวดเร็วเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ดูแลระดับราคาดีเซล 30 บาทต่อลิตรได้ 30 วัน หากราคาน้ำมันดิบโลกไม่เกิน 70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปัจจุบันยังไม่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ หลังจากราคาตลาดโลกปรับขึ้นมา 2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่หากสถานการณ์เลวร้าย พร้อมยกระดับสู่วิกฤต เริ่มปฏิบัติตามแผน ชี้อาจกระทบต่อราคานำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว( LNG) ซึ่งมีผลต่อค่าไฟฟ้าได้
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งด่วนเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2562 เพื่อเตรียมรับวิกฤติสถานการณ์น้ำมันที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ที่อาจเกิดขึ้น หลังจากมีการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันแนฟทา(น้ำมันสำหรับผลิตปิโตรเคมี) และเรื่อบรรทุกเมทานอลในอ่าวโอมาน เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน2562 ที่ผ่านมา ซึ่งการเตรียมพร้อมครั้งนี้ถือว่าอยู่ในระดับธงสีเหลือง ที่ต้องพร้อมจะปฏิบัติได้จริง โดยหากเกิดวิกฤติรุนแรง เช่น การเผชิญหน้าระหว่างกองทัพทหารสหรัฐอเมริกา กับกองทัพทหารของอิหร่าน กระทรวงพลังงาน จะยกระดับเป็นธงสีแดง คือ นำแผนที่ซ้อมไว้ไปปฏิบัติจริงทันที
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานยืนยันว่า ไทยมีความพร้อมรองรับวิกฤติน้ำมันได้อย่างแน่นอน 50 วัน หากเกิดวิกฤติขาดแคลนน้ำมันขึ้น ซึ่งมากจาก 3 ส่วนได้แก่ การมีน้ำมันดิบสำรอง อยู่ 2,958.06 ล้านลิตร คิดเป็นการสำรองใช้ได้ 24 วัน มีน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างการขนส่ง 1,591.23 ล้านลิตร คิดเป็นสำรอง 13 วัน และมีน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศอยู่ 1,549.53 ล้านลิตร คิดเป็นสำรองได้ 13 วัน ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มน้ำมันเบนซิน 368.11 ล้านลิตร กลุ่มดีเซล 839.95 ล้านลิตร และน้ำมันอากาศยาน 341.47 ล้านลิตร
ส่วนก๊าซหุงต้ม(LPG) นั้น ปัจจุบันไทยมี LPG ใช้อยู่ 117.89 ล้านกิโลกรัม จากความต้องการใช้สำหรับเฉพาะภาคครัวเรือน 5.90 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ดังนั้นจึงมีสำรอง LPG สำหรับภาคครัวเรือนใช้ได้อยู่ 20 วัน
สำหรับสถานการณ์การโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันตลาดโลกให้ปรับสูงขึ้น 2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และปัจจุบันทรงตัวอยู่ที่ 61.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ดังนั้น หากราคาน้ำมันดิบเปลี่ยนแปลง 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะเกิดการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันในประเทศ 1 บาทต่อลิตร ดังนั้น สถานการณ์ดังกล่าวยังไม่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันในประเทศแต่อย่างใด และผู้ค้าน้ำมันยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกน้ำมันในขณะนี้
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทรวงพลังงานยังมีเงินจากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเกือบ 40,000 ล้านบาท ไว้ดูแลราคาไม่ให้ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปได้ ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบไม่เกิน 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ สามารถดูแลราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินไม่ให้สูงเกินไป และรักษาระดับราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ได้ประมาณ 30 วัน
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์รุนแรงถึงระดับปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เรือขนส่งน้ำมันทั่วโลกต้องแล่นผ่าน ก็จะมีผลต่อการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) สำหรับผลิตไฟฟ้าของไทยเช่นกัน แต่กระทบต่อปริมาณนำเข้าไปมาก เพราะไทยนำเข้า LNG อยู่ 2 ล้านตันต่อปี คิดเป็น 280 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ประเทศใช้อยู่ 5 พันล้านลูกบาศ์ฟุตต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5% ของการใช้ก๊าซฯในประเทศ ดังนั้นส่วนนี้ไทยสามารถหาจากแหล่งอื่นมาชดเชยได้ แต่ที่จะกระทบมากคือ ราคานำเข้า LNG ที่ปรับตัวสูงขึ้นจะมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า ซึ่งกระทรวงพลังงานจะหาแนวทางทางแก้ไขต่อไปเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าไฟฟ้าประเทศ
นายศิริ กล่าวด้วยว่า สำหรับคำสั่งของคณะกรรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) ที่ผ่านมา กำหนดให้โรงกลั่นรายงานปริมาณการใช้น้ำมัน สต๊อกน้ำมันและการขนส่งน้ำมันเป็นรายวัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้กระทรวงพลังงานทราบปริมาณน้ำมันที่แท้จริงในประเทศสำหรับวางแผนรองรับวิกฤติดังกล่าว โดยจะให้รายงานต่อไปจนกว่า รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่จะพิจารณาให้ยกเลิก
