‘เทรดวอร์’ ทำเศรษฐกิจถดถอย มังกร เปิดหน้าชก พญาอินทรีย์

05 มิ.ย. 2562 | 10:56 น.

คอลัมน์ทางออกนอกตำรา ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3476 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 6-8 มิ.ย.2562 โดย...บากบั่น บุญเลิศ

 

‘เทรดวอร์’ ทำเศรษฐกิจถดถอย

มังกร เปิดหน้าชก พญาอินทรีย์

 

‘เทรดวอร์’ ทำเศรษฐกิจถดถอย มังกร เปิดหน้าชก พญาอินทรีย์

 

                ถึงตอนนี้ต้องบอกว่า ผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกาและจีน ได้ออกฤทธิ์ให้เห็นแล้วว่า รุนแรงกว่าที่หลายคนคาด

                รัฐบาลไทย เพิ่งประกาศตั้งทีมวอร์รูมขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษเพื่อรับมือกับ “เทรดวอร์” ซึ่งแม้จะช้าไปแต่อย่างน้อยก็สะท้อนออกมาว่าไม่ได้ตั้งรับ เพียงแต่จะหาทางรุกยังไม่เจอ

                จมูกด้านการข่าวของผมบอกมาตั้งแต่ต้นว่า “การกีดกันทางการค้า” ของสหรัฐฯ-จีน จะกลายเป็น “เทรด วอร์” ของโลก แต่ไม่มีใครเชื่อ หลายคนยังบอกว่าผมมองโลกในแง่ร้ายเมื่อนำเสนอข่าวนี้มาตั้งแต่ปีมะโว้ว่าให้หาทางปรับตัว ก่อนจะสายไป แต่ผู้รู้และนักวิชาการบอกว่า เป็นเพียงแค่มาตรการกีดกันทางการค้า แต่ผมเห็นว่ามันคือ “Trade World War”

                ล่าสุดนี้ เกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประธานคณะทำงานศึกษาผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ และจีน ออกมาระบุว่า การส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวเหลือเพียง 0-1% เท่านั้น จากที่เคยตั้งเป้าไว้ 3-5%

                เพราะอะไรนะหรือครับ เพราะสงครามการค้าครั้งนี้ของจริงไม่ใช่การขู่ และสงครามการค้านี่แหละฉุดเศรษฐกิจและกำลังซื้อทั่วโลกลงอย่างรุนแรง

                หากสหรัฐฯ ตอบโต้กันไปมาอีก โดยการขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากจีนทั้งหมด ยิ่งฉุดให้ส่งออกตํ่ากว่า 0% แน่นอน การตั้งศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ (war room) ขึ้นมาจึงสำคัญ จะได้ช่วยให้แต่ละรายอุตสาหกรรมเตรียมตัวรับมือผลกระทบที่จะตามมาได้ทัน

                ดีลอยท์ ทู้ช แอนด์ โทมัทสุ บิ๊กโฟร์ของโลก ได้ทำการศึกษาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนไว้ โดยระบุว่า สงครามการค้าจะทำให้คนเอเชียตกงานร่วมกว่า 2 ล้านคน

                ปัญหาข้อขัดแย้งของยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ขยายวงและเกิดผลกระทบในวงกว้างไปแล้ว ล่าสุดการส่งออกของจีนติดลบ 5-6% จากที่เคยเป็นบวก 5-6% และมีการคาดว่าเมื่อจีนซบเซา จะดึงการส่งออกของไทยปีนี้ให้ขยายตัวได้แค่ 1.5% เพราะจีนคือคู่ค้าที่ไทยส่งออกไปรายใหญ่

                เมื่อคนที่ซื้อของจากไทยกระเทือน ผู้ประกอบการไทยก็เจ๊กอั้กสิครับ ใครที่บอกว่าไม่กระทบ ภาษาบ้านผมเขาว่า “ขี้หกทั้งเพ” ใครที่ไม่ยอมปรับตัวเลข ผมขอบอกว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งนํ้าตา

                ถ้าส่งออกไทยโตได้แค่ 1% เมืองไทยก็สลบสิครับ

                เพราะหมายถึงว่าปีหนึ่งไทยมีรายได้จากการส่งออกเดือนละ 19,000-20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯถ้าโตแค่ 1% หมายถึงจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแค่ 190-200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือตกประมาณ 5,700-6,000 ล้านบาท จะหารับประทานอะไรกันละครับ!

                ล่าสุดผมอ่าน บลูมเบิร์ก Chetan Ahya หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Morgan Stanley ระบุในบทวิจัยล่าสุดว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย (global economy into recession) ภายใน 9 เดือนนับจากนี้

                เพราะการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเก็บภาษีเพิ่มสูงสุดถึง 25% จากเดิมที่คิดเพียง 10% และสหรัฐอเมริกายังได้ขู่จีนไว้ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจีนก็ประกาศจะยืนหยัดต่อสู้ตามกติกาการค้าโลกอย่างเต็มที่ ทำให้ศึกครั้งนี้กระทบไปทั่ว

                “นักลงทุนส่วนใหญ่มักมองว่า สงครามการค้าจะลากยาวไปอีกนาน แต่สิ่งที่หลายคนลืมคิดไปก็คือ สงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้างด้วย” Ahya กล่าว

                หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Morgan Stanley บอกด้วยว่า สงครามการค้าขณะนี้คือ “คาดเดาอะไรไม่ได้” แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่า หากสหรัฐอเมริกาปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนที่ 25% อาจทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยใน 3 ไตรมาสนับจากนี้...หนักกว่าที่คิดมั้ย

                การเปิดศึกของยักษ์ใหญ่ของโลกดูจะรุนแรงขึ้น เมื่อล่าสุดจีนออกเอกสารสมุดปกขาวพิมพ์ออกมา 8 ภาษา แถลงจะยืนในเรื่องสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าเป็นการออกมายืนซดหมัดกับสหรัฐฯอย่างเต็มตัว

                หวัง เส้าเหวิน รมช.พาณิชย์ของจีน ซึ่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าคณะผู้แทนเพื่อเจรจาการค้าระหว่างประเทศอีกตำแหน่งกล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่งว่า สหรัฐอเมริกาไม่สามารถใช้วิธีการกดดันมาบีบให้จีนทำความตกลงการค้าด้วยได้

                การกดดันด้วยวิธีการขยายสงครามการค้าเพื่อบังคับให้จีนยอมจำนนนั้นเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง

                ที่ผ่านมาสหรัฐฯ กล่าวหาจีนผิดๆ ว่าเป็นผู้กลับคำ ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ ต่างหากที่ควรถูกตำหนิเช่นนั้น เพราะเมื่อใดที่จีนยินยอมอ่อนข้อให้ สหรัฐฯ ก็เรียกร้องเพิ่มเติม เหมือนได้คืบก็จะเอาศอก ข้อเรียกร้องในการเจรจาเพื่อทำความตกลงการค้าระหว่างกันของสหรัฐอเมริกาสูงอย่างไม่มีเหตุผล เป็นข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของจีน ซึ่งเป็นไปไม่ได้และยิ่งใช้วิธีขึ้นภาษีเพิ่มมากขึ้นก็ยิ่งทำให้การเจรจายิ่งอึดอัดมากขึ้นด้วย

                สมุดปกขาวของจีน ระบุไว้ว่า สงครามการค้าไม่ได้ทำให้สหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งเหมือนสโลแกนเลือกตั้งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่จะส่งผลในทางตรงกันข้าม คือไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจอเมริกันขยายตัวได้ แต่จะส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา

                หวังแถลงว่า  “อธิปไตยและเกียรติภูมิของชาติควรต้องเคารพ ความตกลงใดๆ ที่ทั้ง 2 ประเทศจะตกลงกันได้ ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคและการได้รับผลประโยชน์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย” พร้อมกันนั้นก็ยืนยันว่า ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จีนก็จะเดินหน้าชนความท้าทายทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา และยํ้าว่า “จีนไม่ได้ต้องการสงครามการค้า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้กลัวสงครามการค้า เราพร้อมที่จะสู้หากจำเป็น”

                ถ้อยแถลงของหวัง เป็นไปในทิศทางเดียวกับคำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.เว่ย เฟิ่งเหอ รมว.กลาโหมของจีน ที่กล่าวระหว่างการเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยความมั่นคงในภูมิภาคที่ประเทศสิงคโปร์ว่า “สหรัฐอเมริกาเป็นผู้เริ่มต้นสงครามการค้า ถ้าหากสหรัฐอเมริกาต้องการเจรจา เราก็จะยังคงเปิดประตูต้อนรับ แต่ถ้าหากสหรัฐฯต้องการการสู้รบ เราก็พร้อมเช่นเดียวกัน” ดุเดือดเลือดพล่าน

                ก่อนหน้านั้น ทางการจีนได้แถลงการขึ้นพิกัดอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริการวมมูลค่าสินค้า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากที่เคยเก็บอยู่เดิม 5% เป็น 25% ทั้งหมด เพื่อตอบโต้คำสั่งขึ้นภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริการวมมูลค่า สินค้า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

                หลายคนตั้งคำถามว่าช้างสารจีน-สหรัฐฯสู้รบกัน แล้วเราจะต้องไปสนใจทำไม ลองพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ครับ

                สหรัฐฯและจีนมีการลงทุนในทั้ง 2 ประเทศ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การค้าระหว่าง 2 ประเทศเพิ่มขึ้น 252 เท่าในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา

                ลำพัง การขึ้นภาษีนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ของจีน ทำให้ผู้บริโภคสหรัฐฯต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้นทุนเพิ่มขึ้น 23.4% การค้าขายกับจีนทำให้เกิดการจ้างงานในสหรัฐฯมากถึง 1.1 ล้านตำแหน่ง

                การเปิดสงครามการค้าทำให้สินค้าเกษตรสหรัฐฯ ส่งไปยังจีนน้อยลง 33.1% โดยถั่วเหลืองลดลงมากที่สุดกว่า 50%

                ขณะที่ยอดส่งออกสหรัฐฯไปยังจีนลดลง 8 เดือนติดต่อกัน โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ลดลงแล้วกว่า 9.7%

                ดังนั้นเมื่อสหรัฐฯเจ็บ จีนก็ร่อแร่ แล้วไทยที่เป็นประเทศที่พึ่งพาจากการส่งออกถึง 70% จะยืนระยะไหวมั้ยครับ...

                คำตอบคือไม่ไหว...ดังนั้นคนทำธุรกิจต้องตั้งรับให้ไว อย่าไปพึ่งแต่ภาครัฐนะครับ...งั้นจะตายก่อนวัยอันควร