คลังรายงานครม.มีคนใช้E-Paymentแค่18.8%

04 มิ.ย. 2562 | 09:07 น.
 
วันนี้( 4 มิถุนายน 2562)  ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีสาระสำคัญ คือ 
 
1. ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมมาตรการฯ ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ ตั้งแต่วันที่ 7 – 15 กุมภาพันธ์ 2562 ผ่านทางเว็บไซต์ www.epayment.go.th โดยระบุเลขที่บัญชีธนาคารที่จะนำมาใช้ชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการได้สูงสุดไม่เกิน 10 เลขบัญชีธนาคาร จากผลการลงทะเบียนฯ พบว่ามีผู้ลงทะเบียนจำนวนทั้งสิ้น 34,865 ราย และมีเลขบัญชีธนาคารที่จะนำมาใช้ชำระเงินจำนวน 40,074 เลขที่บัญชี  2.ร้านค้าที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มการสมัครได้ที่ www.cgd.go.th ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2561 จนถึง 31 มกราคม 2562 ซึ่งมีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมมาตรการฯ จำนวนทั้งสิ้น 213 ราย และมีจำนวนสาขา 19,551 สาขาทั่วประเทศ

ข้อมูลการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และจำนวนเงินชดเชย ข้อมูล ณ วันที่ 11 มีนาคม 2562  พบว่า วิธีการชำระเงินด้วยบัตรเดบิต 10,608 รายการ  มูลค่าสินค้าและบริการรวม VAT 14,049,254 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 789,413  บาท  เงินชดเชยที่ผู้เข้าร่วมมาตรการฯ จะได้รับคืน จำนวน 563,866 บาท
 
ส่วนวิธีการชำระเงิน ด้วย คิวอาร์โค้ดจำนวน 2,132 รายการ มูลค่าสินค้าและบริการรวม VAT 2,188,920 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 126,448 บาท เงินชดเชยที่ผู้เข้าร่วมมาตรการฯ จะได้รับคืนจำนวน 90,320 บาท
 
 
ซึ่งการวิเคราะห์ผลการดำเนินมาตรการฯ ระบุว่า ข้อ 1.ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ ที่ซื้อสินค้าและบริการ คิดเป็น 18.55% ของผู้ลงทะเบียนฯ ยังมีจำนวนจำกัด เนื่องจากการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการผ่านบัตรเดบิตและคิวอาร์โค้ด อาจไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมการชำระเงินของคนไทย ที่ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเป็นส่วนใหญ่ และบัตรเครดิตมีแรงจูงใจมากกว่าในแง่ส่วนลด การสะสมคะแนน และการผ่อนชำระการซื้อสินค้าและบริการ
 
 
2.ผลการสำรวจของกระทรวงการคลังพบว่า ประชาชนมีความกังวลในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งสร้างความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในโอกาสต่อไป 
และ
 
3.มาตรการฯ มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการชำระเงินของผู้บริโภค และการรับชำระเงินของผู้ประกอบการ จากระบบเงินสดไปสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการผลักดันการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (National e-Payment Master Plan) เพื่อให้ระบบการชำระเงินของประเทศไทย เข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์                (e-Payment) ต่อไป

  
 

ในที่ประชุมครม.กระทรวงการคลังเสนอความเห็นต่อมาตรการฯว่า ควรดำเนินมาตรการฯ หรือมาตรการอื่นใด ที่สนับสนุนและส่งเสริมการซื้อสินค้าและบริการอีกในระยะต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นรูปธรรมสูงสุด โดยกระทรวงการคลังจะมุ่งสู่การกำหนดเงื่อนไขของมาตรการฯ เช่น จะต้องจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (รวมถึงบัตรเครดิตด้วย) ซื้อสินค้าและบริการกับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการจะต้องมีระบบบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) ช่วยเก็บบันทึกการขาย ยอดขาย จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่แยกออกจากราคาสินค้าและบริการ รายละเอียดสินค้า พิมพ์ใบกำกับภาษี และต้องรับและส่งข้อมูลจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละรายการที่รับชำระค่าสินค้าและบริการได้แบบทันที (Real-time) รวมถึงต้องพัฒนาระบบให้สามารถแยกประเภทสินค้าที่รัฐบาลต้องการจะส่งเสริมในแต่ละช่วงเวลาได้ เป็นต้น

 


 ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีอากรและประสิทธิภาพในการใช้จ่ายของภาครัฐต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาฯ แล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 เพื่อให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือผู้ให้บริการการชำระเงินตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน สามารถหักรายจ่ายลงทุนได้เป็นจำนวน 2 เท่า สำหรับรายจ่ายลงทุนใน POS การพัฒนาระบบการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e – Withholding Tax) รวมทั้งการพัฒนาระบบการจัดทำใบกำกับภาษีและใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e – Tax Invoice/e-Receipt)