สศอ.แนะภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาร่วมมือกันปรับโครงสร้างการผลิต เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ตลาดต้องการ พร้อมก้าวไปสู่การเป็นซัพพายเชนของโลก และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการย้ายฐานการผลิต
นายอดิทัต วะสีนนท์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนนั้น สศอ. ต้องการนำเสนอแนวทางการรับมือ และกลยุท์ในการปรับตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ในภาพรวม ซึ่งในลำดับแรกสศอ. มองเห็นว่าทั้งภาครัฐรวมถึงภาคเอกชน และสถาบันกาศึกษาจะต้องร่วมมือกันปรับโครงสร้างการผลิต โดยมาตรการต่างๆที่ออกไปเรื่องการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า เรื่องออโตเมชั่น และอาหาร เป็นต้น เหล่านี้เป็นการปรับตัวไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะต้องยอมรับว่าภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 1-2 เดือนจะต้องมีการวางแผนการผลิต
ทั้งนี้ อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญอย่างมากก็คือ จะดำเนินการอย่างไรให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันในการนำพาตนเองเข้าไปเป็นหนึ่งในซัพพายเชนของโครงข่ายการผลิตระดับประเทศให้ได้ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมก็มีความร่วมมือกับหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ,จีนซึ่งมีแผนไปตั้งสำนักงานอุตสาหกรรม หรือรัสเซียที่จะร่วมมือให้เป็นซัพพายเชนซึ่งกันและกัน เรียกว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าไทยก้าวไปสู่ซัพพายเชนของโลกให้ได้
และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิต หากสามารถทำได้จะเป็นภาพใหญ่ที่จะช่วยส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้สามารถปรับตัวได้ เพราะเรื่องสงครามการค้ามีระยะเวลาที่ยาวนาน ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการที่เป็นภาพรวมในระยะยาว ส่วนระยะสั้นนั้นในการดูแลผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ได้มีความพยายามเร่งมือกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการหาตลาดใหม่จากกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบการ หรือสถานประกอบการสามารถดำเนินการได้ในลำดับแรกคือจะต้องรัดเข็ดขัดตนเอง รวมถึงเพิ่มผลิตภาพของตน หรือจะดำเนินการอย่างไรเพื่อลดต้นทุน มีการเพิ่มนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเป็นแนวทางที่ภาคเอกชนจะต้องเร่งดำเนินการ
นายอดิทัต กล่าวต่อไปอีกว่า สงครามการค้าฯครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบต่อสินค้าของไทยที่เป็นวัตถุดิบชั้นต้น ชั้นกลางที่ใช้ในการผลิตของห่วงโซ่อุปทาน หรือซัพพายเชนของจีนที่จะส่งไปยังสหรัฐฯ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และยาง เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมโลจิสก์ติก โดยเฉพาะทางเรือหากมูลค่าการส่งออกของสหรัฐนและของโลกลดลง อุตสาหกรรมดังกล่าวนี้ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
“โครงสร้างการส่งออกของโลกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง สหรัฐฯยังส่งออกไปแคนาดาอันดับหนึ่ง และส่งออกไปยังจีนเป็นอันดับ 3 หรือสหรัฐฯยังคงนำเข้าจากจีนเป็นอันดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นลำดับโครงสร้างยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าสงครามการค้าจะมีผลกระทบต่ออัตราการเติบโตบ้างก็ตาม
นายอดิทัต กล่าวต่อไปอีกว่า ล่าสุด สศอ. ได้มีการประบคาดการณ์ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ทั้งปีลงเหลือ 1.5-2.5% จากคาดเดิมที่อยูที่ประมาณ 2.0-3.0% โดยเป็นผลกระทบมาจากสงครามการค้าฯ การค้าของโลกที่ชะลอตัวลง การลดเงินอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ (QE) ของประเทศต่างๆ และการคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี จากองค์กรต่างๆทั้งภายในและต่างประเทศที่ปรับลดลงทั้งหมด