THG รุกขยายร.พ. คลุมอาเซียน ทุ่ม2,000ล้านปักหมุดเมียนมา
THG ชูโมเดลการลงทุนขยายธุรกิจโรงพยาบาลในอาเซียน เผยมูลค่าการลงทุนในประเทศเมียนมากว่า 2 พันล้านบาทคาดคืนทุนใน 2 ปี ขณะที่ไตรมาสแรกมีผลการดำเนินงานกว่า 1,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2%
นพ.ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทได้ขยายธุรกิจโรงพยาบาลในเมียนมา ภายใต้ชื่อโรงพยาบาล Ar Yu International Hospital ตั้งอยู่ในเมืองย่างกุ้ง โดยมีมูลค่าการลงทุนรวม 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (กว่า 2,000 ล้านบาท) ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท Ar YUInternational Health Care Company Limited ที่เกิดจากการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น โดยมี บมจ.ธนบุรีเฮลท์แคร์ กรุ๊ป สัดส่วนหุ้น 40% Ga Mone Pwint Company Limited (GMP) ผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในเมียนมา 50% และอีก 10% ถือหุ้นโดยบริษัท Aryu Ananta Medical Services Company Limited ซึ่งเป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ในเมียนมา
โดยงบการลงทุนดังกล่าว THG คาดว่าน่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 2 ปี อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา THG ยังได้ขยายธุรกิจโรงพยาบาลที่ประเทศจีนด้วยเช่นกัน ซึ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นรูปแบบการร่วมทุนกับพันธมิตรเช่นกัน โดยเป็นอัตราสัดส่วนการลงทุน THG 58% และที่เหลือกว่า 40% เป็นกลุ่มบริษัทผลิตเครื่องมือแพทย์ในประเทศจีน สำหรับการลงทุนดังกล่าวบริษัทเชื่อว่าจะสามารถสร้างความยั่งยืนและต่อยอดธุรกิจในเครือ THG อื่นๆเพิ่มเติม
“THG มองว่าโมเดลการลงทุนรูปแบบนี้จะสร้างความมั่นคงด้านทีมแพทย์ให้กับประเทศเมียนมา อีกทั้งจากข้อมูลในประเทศเมียนมาพบว่าแต่ละวันมีคนไข้ประเทศเมียนมาบินมาโรงพยาบาลในประเทศไทยเฉลี่ย 600 คนต่อวัน และส่วนใหญ่กว่า 95% ของจำนวนคนไข้ที่บินมาประเทศไทยเป็นการบินไปตรวจโรคหรือเช็กสุขภาพเท่านั้น ดังนั้น THG มองว่านี่คือโอกาส จึงได้ลงทุนธุรกิจโรงพยาบาลในเมียนมา เพื่อให้บริการรักษาพยาบาลแก่ชาวเมียนมาและชาวต่างชาติด้วยมาตรฐานทางการแพทย์และบริการระดับสากลในการเช็กสุขภาพเบื้องต้นก่อน ซึ่ง THG เชื่อว่าการเปิดโรงพยาบาลในประเทศเมียนมานี้จะช่วยลดระยะเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายการเดินทางมาไทย”
ทั้งนี้หลังจากเปิดตัวโรงพยาบาล Ar Yu International Hospital ไปแล้วกว่า 4 เดือนได้รับการตอบรับอย่างดี เป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจจากผู้ใช้บริการ ปัจจุบันมีคนไข้เฉลี่ยประมาณ 200 คนต่อวัน และตั้งเป้าภายในปลายปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 300 คนต่อวัน ขณะที่ค่ารักษาในประเทศเมียนมาปัจจุบันตํ่ากว่าในประเทศไทยอัตรา 1: 3 โดยมีราคาเฉลี่ยสำหรับคนไข้ OPDประมาณ1,500บาท/ครั้ง/คน และผู้ป่วย IPD 6,000 บาท/ครั้ง/คนเนื่องจากค่าแรงในประเทศเมียนมาน้อยกว่าประเทศไทยเกือบ 3 เท่าตัว และปัจจุบันคนไข้ส่วนใหญ่ที่เข้ามารักษาจะเป็นกลุ่มคนไข้ OPD (ผู้ป่วยนอกไม่ต้องนอนพัก) ที่จะเข้ามาเช็กสุขภาพ และเอกซเรย์
ปัจจุบันมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประมาณ 120 คน มีศูนย์ตรวจรักษาให้บริการครอบคลุม อาทิ ศูนย์หัวใจ (Heart (Cardiology) Center), ศูนย์ระบบทางเดินอาหาร (Endoscopic (GI) Clinic), ศูนย์กุมารเวชศาสตร์ (Children’s (Pediatrics) Clinic), ศูนย์หู คอ จมูก (Ear Nose and Throat Clinic), แผนกฉุกเฉิน (Emergency Department), ศูนย์ไตเทียม (Hemodialysis Department), ศูนย์กระดูกและข้อ (Orthopedic) ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีศูนย์สุขภาพ (Wellness Center) ที่นำเสนอโปรแกรมตรวจสุขภาพได้อย่างครบวงจร
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม 2562) มีรายได้รวม 1,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,683 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจรักษาพยาบาลเติบโตได้ดี โดยโรงพยาบาลในประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นและเริ่มรับรู้รายได้จากโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง ที่เปิดให้บริการเฟสแรกเพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้บริการระดับพรีเมียมและกลุ่มเมดิคัลทัวริซึม นอกจากนี้ยังรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพักอาศัยในโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้งเคาน์ตี้ รังสิต (Jin Wellbeing County)อีก25 ยูนิต รวมมูลค่าขายเกินกว่า 100 ล้านบาท
หน้า 30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3474 วันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2562
