ช่วงระหว่างวันที่ 12 – 16 เม.ย. 2562 ผมได้เดินทางไปเก็บข้อมูลบริษัทอาหารเสริมสุขภาพญี่ปุ่น คือบริษัท Hamari Sangyo Co., Ltd ตั้งอยู่ที่ 541-0041 Osaka-shi, Shuo-Ku, Kitaham 2chome Kitahama Matsuoka Building 7floor (ดูรายละเอีดยบริษัทได้ที่ www.hamarichemicals.com) และบริษัท ITOH Kanpo Pharmaceutical Co., Ltd ตั้งอยู่ที่ 2-4-1 Nagatahigashi Higashiosaka City Osaka
สำหรับบริษัท Hamari ผมได้คุยกับคุณ Tokiro Takami ซึ่งเป็นประธานบริษัท ได้ให้ข้อมูลว่า มูลค่าอุตสาหกรรมอาหารสุขภาพญี่ปุ่น ปี 2560 อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านเยน (ประมาณ 4 แสนล้านบาท) แบ่งออกเป็นกลุ่มอาหารบำรุงร่างกาย 761,900 ล้านเยน กลุ่มอาหารทั่วไป 389,000 ล้านเยน และกลุ่มอาหารที่มีสารสกัด 75,400 ล้านเยนและที่เหลือเป็นอาหารสุขภาพอื่น 206,700 ล้านเยน
พร้อมกับให้ข้อมูลว่า “อุตสาหกรรมอาหารสุขภาพ” ในญี่ปุ่นจะโตอีกมากด้วยเหตุผล 1.ในปี 2020 ที่จะมีกีฬาโอลิมปิกที่โอซากา ทำให้อาหารเสริมนักกีฬาจะมีความต้องการมากยิ่งขึ้นอีก 2.คนญี่ปุ่นต้องการอาหารสุขภาพที่มาจากธรรมชาติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มาจากสมุนไพร หรือสารสกัดจากสินค้าเกษตร เพราะวัตถุดิบเหล่านี้มาทำเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพได้อย่างดี 3.เพื่อรองรับรอง “สังคมผู้สูงอายุ” ความต้องการจึงเพิ่มขึ้น
ส่วนหนึ่งอาหารเสริมสุขภาพของญี่ปุ่น
จุดแข็งของบริษัทคือการวิจัยและพัฒนาอย่างละเอียดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง มีเป้าหมายส่งออกในประเทศเอเชีย เพราะในอนาคตคนจะห่วงสุขภาพและนิยมทานมากขึ้น รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้โฆษณาได้แต่ต้องบอกให้ชัดว่าเป็นอาหารสุขภาพหรือยา ข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย “ควรนำทั้งสมุนไพรและสินค้าเกษตรมาสกัด”
ในขณะบริษัท ITOH ผู้ให้สัมภาษณ์คือ คุณ Hideki Tagawa ผู้จัดด้านการตลาด บริษัทนี้ตั้งเมื่อปี 1887 เป็นบริษัทเก่าแก่อายุมากกว่า 100 ปีแล้ว เริ่มทำสมุนตั้งแต่แรก เพิ่งมาทำอาหารสุขภาพเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ช่วงแรกนำสมุนไพรในญี่ปุ่น แต่ช่วง 30 ปีหลังอาหารเสริมได้รับความนิยมมาก ซึ่งขายดีกว่าสมุนไพรที่บริษัทผลิต ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 200 คน ผลิตภัณฑ์มากกว่า 200 ชนิด 90% เป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ที่เหลือเป็นสมุนไพรประเภทยา คือ แก้ไข้และยาท้องผูก ส่งออกไปประเทศจีน เกาหลี ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ไม่สามารถส่งมาไทยได้เพราะไม่ผ่าน อย. ของไทย เขาต้องการทำตลาดในไทย แต่ไม่มีหุ้นส่วน วัตถุดิบนำเข้ามาจากจีน มีปัญหาเรื่องคุณภาพ สนใจผลไม้ไทยใช้ได้ทุกตัว แต่เนื่องจากนำมาจากจีน เอาขมิ้นชันมาจากอินเดีย
เมื่อหันมาดูผลิตภัณฑ์สุขภาพของไทย อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์สมุนไพรสกัด “เห็ดหลินจือ” แบรนด์ “SAVITA” ของนายหัวเล็ก (อรรถพล สำลีพันธุ์) คนสุราษฎร์ธานี ไปทำไร่ปลูกเห็ดหลินจือและแปรรูปที่จังหวัดเลยจำนวน 30 ไร่ ด้วยผลผลิต 1 ปี ได้ 3 รอบๆ ละ 2 ตัน รวม 1 ปีได้ผลผลิตเห็ดหลินจือ 6 ตัน นอกจากนี้มีการซื้อจากกลุ่มเกษตรกรกิโลกรัม(กก.)ละ 800 บาท ราคาขายหน้าฟาร์ม 1,200 บาทต่อกก. และราคาขายในตลาดอยู่ที่ 2,500 บาทต่อกก.มีเกษตรในเครือข่ายที่มีการควบคุมมาตรฐานการเกษตรที่ดี (GAP) จำนวน 40 ราย มีรายได้เฉลี่ย 10,000 – 30,000 บาทต่อเดือนจากการขายหลินจืดแห้ง (ขึ้นกับขนาดของพื้นที่) ส่วนใหญ่ปลูกเป็นอาชีพหลักในขณะที่อาชีพรองคือปลูกข้าว ผลิตภัณฑ์ “SAVITA” ประกอบด้วย แคปซูล (ถั่งเช่ากับหลินจือ) 60 แคปซูล (1 กล่อง) ราคา 1,500 บาทต่อ 1 ขวด และเห็ดหลินจืดแผ่นสไลค์ขนาด 80 กรัม ราคา 200 บาทต่อซอง
อีกรายเป็นแบรนด์ “Local Mushroom Farm Cafe” ที่ดอยแม่สลอง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ทำเห็ดหลินจือผง เพื่อละลายน้ำกิน และน้ำมันหลินจือเพื่อบำรุงผิว
ทั้งสองกรณีเมื่อมองกับกรณีอุตสาหกรรมอาหารสุขภาพของญี่ปุ่น ผมพอจะสรุปสิ่งที่ประเทศไทยควรทำเพิ่มเติมคือ 1.สร้างอัตลักษณ์การบริโภคอาหารสุขภาพของไทย เพราะคนไทยยังไม่นิยมบริโภคสมุนไพรไทย แต่นิยมบริโภคสมุนไพรต่างชาติ 2.ต้องพัฒนาและวิจัย “กระชายดำ และไพล” ของไทยในอุตสาหกรรมอาหารเสริมให้มากขึ้น (กระชายดำมีประโยชน์มากกว่าโสมเกาหลี 3 เท่า) 3.นำสมุนไพรไทยเข้าไปผสมกับสินค้าเกษตร เช่น น้ำสับปะรดผสมกระชายดำ หรือกับน้ำผลไม้อื่น หรือ นำหลินจืดผสมกับน้ำผลไม้ไทย เป็นต้น 4.Business Model ของไทยกับญี่ปุ่นต่างกัน บริษัทญี่ปุ่นซื้อวัสดุดิบมาสกัดเอง แต่บริษัทเอาวัสดุดิบให้บริษัทแปรรูปให้