อุทธรณ์ยืนคุก50ปี“จุฑามาศ ศิริวรรณ”คดีสินบนข้ามชาติงานบางกอกฟิล์ม

08 พ.ค. 2562 | 06:41 น.

ศาลอุทธรณ์ยืนคุก 50 ปี “จุฑามาศ ศิริวรรณ” อดีตผู้ว่าฯ ททท. คดีรับสินบนข้ามชาติ ฮั้วประมูลจัดงานบางกอกฟิล์ม ส่วน "ลูกสาว" ได้ลดโทษเหลือคุก 40 ปี ยกเลิกคำสั่งริบเงิน 62 ล้านบาท ทนายยังขอลุ้นฎีกาหรือไม่ 

 วันนี้ (8 พ.ค.62)  ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีสินบนข้ามชาติ ที่ อัยการคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางจุฑามาศ ศิริวรรณ อายุ 72 ปี อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ น.ส.จิตติโสภา ศิริวรรณ อายุ 45 ปี บุตรสาว เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นพนักงาน เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อการกระทำอย่างใดในหน้าที่ ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ , เป็นพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้อแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิตามสัญญาแก่หน่วยของรัฐ และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตาม พ.รบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 , 11 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนรอราคาหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 มาตรา 12  

อุทธรณ์ยืนคุก50ปี“จุฑามาศ ศิริวรรณ”คดีสินบนข้ามชาติงานบางกอกฟิล์ม

จากกรณีรับเงินตอบแทน สามี-ภรรยาชาวสหรัฐฯ นักธุรกิจภาพยนตร์ เพื่อให้ได้สิทธิในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2002-2007 (พ.ศ.2545-2550) มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท โดยอัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 ส.ค.2558 ซึ่งจำเลยทั้ง 2 ให้การปฏิเสธ 

คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.2560 เห็นว่า การจัดจ้างโครงการเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ มีการกำหนดเงื่อนไขโดยวิธีตกลงราคาหรือวิธีพิเศษ ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามข้อบังคับของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2538 โดยเฉพาะโครงการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2546 ไม่เป็นการจ้างบริษัทที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์ที่เคยทราบหรือเคยเห็นความสามารถผลงานมาแล้ว 

โดยนางจุฑามาศ  คบคิดกับนายเจอรัลด์ และนางแพทริเซีย กรีน นักธุรกิจในสหรัฐฯ จัดตั้งบริษัทเข้ามาเป็นคู่สัญญากับ ททท. และยังเรียกรับเงินสินบนจากนายเจอรัลด์ โดยโอนเงินไปยัง น.ส.จิตติโสภา  กับเพื่อน 59 รายการ เป็นเงิน 1,822,294 เหรียญสหรัฐ  

 

พฤติการณ์ของ นางจุฑามาศ  จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล)  มาตรา 12 และผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ ให้จำคุก นางจุฑามาศ รวม 11 กระทงๆ ละ 6 ปี เป็นจำคุกทั้งสิ้น 66 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้ว ให้จำคุกสูงสุดเป็นเวลา 50 ปี   

และจำคุก น.ส.จิตติโสภา  รวม 11 กระทง กระทงละ 4 ปีโดยจำคุกทั้งสิ้น 44 ปี ขณะที่ศาลมีคำสั่งให้ริบเงินกระทำผิด 1,822,494 เหรียญสหรัฐ และดอกผลที่เกิดขึ้นให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย โดยเงินนั้นเป็นทรัพย์ที่ฝากอยู่ในธนาคารต่างประเทศ ศาลจึงได้กำหนดมูลค่าทรัพย์ที่สั่งริบนั้น เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 62,724,776 บาท 

โดยหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วระหว่างอุทธรณ์ นางจุฑามาศ และ น.ส.จิตติโสภา ถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง เนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งวันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้ง 2มาจากเรือนจำ มีผู้มาให้กำลังใจด้วย 5-6 คน 

ขณะที่ ศาลอุทธรณ์ฯ พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ว มีคำแปลคำให้การของเจ้าหน้าที่ FBI สหรัฐฯ ที่ทำการสืบสวนสอบสวน ดำเนินคดีกับสามี-ภรรยาตระกูลกรีน โดยเมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานอื่นตามหลักการพิจารณาคดีอาญาแล้ว ก็รับฟังได้ว่า  นางจุฑามาศ ได้สมคบโดยให้คำแนะนำกับสามี-ภรรยาตระกูลกรีนในการเข้ามาร่วมจัดงาน้ทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ในลักษณะของการฮั้วประมูล ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา 
 

แต่ในส่วนของ น.ส.จิตติโสภา  นั้น ในการฟ้องของอัยการโจทก์ ไม่ได้ระบุและนำสือชัดเจนในการที่จะร่วมสนับสนุนกระทำผิดต่อการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ปี 2550 และส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าเงินที่โอนเข้าบัญชีในต่างประเทศ นั้นเป็นเงินที่ได้จากการเป็นที่ปรึกษาของนายเจอรัลด์ กรีน ช่วงปี 2545 นั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากปรากฏเป็นการโอนเงินหลังจากที่นายเจอรัลด์ ได้ทำสัญญาการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติแล้ว 2 สัปดาห์ และก็ไม่เคยปรากฏว่าเมื่อจำเลยจบการศึกษาปริญญาตรี จนกระทั่งมีการศึกษาต่อปริญญาโทนั้น จำเลยที่ 2 ได้ประกอบธุรกิจหรือมีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับธุรกิจดังกล่าวมาก่อน จนจะได้รับค่าปรึกษาจากนายเจอรับด์กรีนคิดเป็นเงินไทยกว่า 60 ล้านบาทนั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น 

ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ฯ จึงเห็นควรพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก น.ส.จิตติโสภา จำเลยที่ 2 รวม 10 กระทงจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 11 กระทงๆ ละ 4 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 40 ปี ส่วน นางจุฑามาศ  คงจำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น 11 กระทงๆ ละ 6 ปี จำคุกทั้งสิ้น 66 ปี แต่เมื่อรวมโทษตามกฎหมายแล้วให้จำคุกสูงสุดเป็นเวลา 50 ปี 

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ฯ มีคำพิพากษาให้ยกคำสั่งริบทรัพย์ของศาลชั้นต้นที่ให้ริบเงินที่เป็นการกระทำผิดซึ่งเป็นเงินในบัญชีต่างประเทศกว่า 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย เนื่องจากเป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ เพราะคดีนี้อัยการโจทก์ไม่ได้มีคำขอให้ริบของกลางหรือเงินใดๆ ไว้ท้ายฟ้อง และบทเฉพาะกาลตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 52 บัญญัติ ให้บรรดาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับนั้น ให้บังคับตามกฎหมายซึ่งใช้อยู่ก่อน ดังนั้นคดีนี้จึงต้องใช้บทบัญญัติกฎหมายคดีอาญาสามัญ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่นำมาตรการริบทรัพย์สินในคดีทุจริตไม่ว่าโจทก์จะมีคำขอหรือไม่ก็ตาม ตามมาตรา 31(2) , มาตรา 32(2) และมาตรา 33 วรรคหนึ่งนั้นมาใช้กับคดีนี้ เป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ 

นายสุชาติ ชมกุล ทนายความจำเลย กล่าวว่า ยังไม่แน่ใจว่าจำเลยจะยื่นฎีกาหรือไม่ เนื่องจากต้องรอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มและกลับไปปรึกษากับคณะทำงานทนายความคดีนี้ซึ่งมีหลายคน เพื่อช่วยกันตรวจดูคำพิพากษาอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง 

ด้านพนักงานอัยการ ซึ่งรับมอบหมายมาฟังคำพิพากษาศาลกล่าวเพียงว่า  คดีนี้ยังสามารถที่จะใช้สิทธิ์ยื่นฎีกาได้