“เวิล์ดแบงก์”หั่นจีดีพีไทยเหลือโต 3.8% ชี้ตั้งรัฐบาลล่าช้ากระทบลงทุน
ธนาคารโลก ประเมินจีดีพีไทยปี 2562 เหลือโต 3.8% จากกรอบเดิม 3.9% พร้อมคงจีดีพีปี 63 อยู่ที่ 3.9% เหตุการค้าโลกชะลอ กดส่งออกไทยโต 5.7% ยันการลงทุนภาครัฐ-เอกชนขยายตัวต่อเนื่อง คาดบริโภคเป็นพระเอกตัวใหม่ ชี้ จัดตั้งรัฐบาลล่าช้าเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นการลงทุนโครงการใหม่ เล็งทบทวนตัวเลขใหม่เดือนก.ค.นี้ ด้านเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเติบโตช้าลงจาก 6.3% เหลือ 6%
นายเกียรติพงศ์ อริยปรัญชา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย หรือ World Bank เปิดเผยว่า ธนาคารโลกได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ชะลอตัวลงเล็กน้อยเหลือ 3.8% จากคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 3.9% และในปี 2563 ขยายตัวอยู่ที่ 3.9% ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค และจากปัญหาการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ดี หากดูตัวเลขการท่องเที่ยวในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง
ขณะที่ภาคการส่งออก มองยังคงขยายตัวแต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง โดยคาดการณ์ในปี 2562 ขยายตัวอยู่ที่ 5.7% และลดลงมาอยู่ที่ 5.5% ในปี 2563 และการนำเข้าขยายตัวอยู่ที่ 6.1% และ 6.8% ส่วนการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอยู่ที่ 4.3% และ 4.8% ตามลำดับ สำหรับการบริโภคภาครัฐขยายตัวอยู่ที่ 4.6% และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.2% ในปี 2563
อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัตราการเติบโตของไทยเมื่อเทียบกับภูมิภาคอาจจะไม่สูงเท่า แต่ถือว่าไทยมีอัตราการเติบโตดีขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาคลงทุนภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับอุปสงค์ภาคในประเทศดีขึ้น ทำให้การบริโภคภาคเอกชนและบริโภคภาครัฐ จะเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจไทย
ส่วนประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลนั้น มองว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลมีความล่าช้า อาจจะส่งผลต่อการลงทุนภาครัฐได้ แต่อย่างไรก็ดี จะเห็นว่าการลงทุนในหลายโครงการได้อยู่ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อโครงการที่จะเกิดขึ้นในปี 2562-2563 แต่อาจจะมีผลต่อโครงการลงทุนที่จะเกิดใหม่ในปี 2564-2565 และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนได้ ดังนั้น ปัจจัยการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลถือเป็นความเสี่ยงหนึ่งต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย
อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินการคลังของไทยนั้น ถือว่าค่อนข้างมีศักยภาพเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีค่อนข้างต่ำไม่เกิน 40% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% ซึ่งเป็นระดับที่ยังมีช่องว่างและความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกมาก
“การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบภูมิภาคอาจไม่สูงเท่า แต่ถือว่าดีขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจจีนยังถือเป็นเศรษฐกิจหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ดังนั้น จึงเทียบกันไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี ภายในเดือนกรกฎาคมนี้เวิล์ดแบงก์จะมีการทบทวนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง โดยในปีนี้ยังมองชะลอตัวเล็กน้อยจากระดับ 3.9% มาอยู่ที่ 3.8% ซึ่งปัจจัยการเมืองถือเป็นความเสี่ยงหนึ่งต่อการเติบโต”
ด้านนางวิกตอเรีย กวาวา รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกในปี 2562-2563 จะขยายตัวลดลงจากระดับ 6.3% มาอยู่ที่ 6% เช่นเดียวกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่จะชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปี 2561 อยู่ที่ 4.1% และในปี 2562 ขยายตัวอยู่ที่ระดับ 3.8% และในปี 2563 อยู่ที่ 3.9%
ทั้งนี้ ทิศทางการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในภูมิภาคนั้น เป็นผลมาจากแรงลมต้านเศรษฐกิจโลกและจากการที่จีนมีนโยบายชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนในปี 2562 และ 2563 ขยายตัวอยู่ที่ 6.2% ลดลงจากระดับ 6.6% ในปี 2561 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจในภูมิภาคยังคงรอดพ้นจากความผันผวนทางการเงินในปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี เนื่องจากกรอบนโยบายที่มีประสิทธิภาพ และพื้นฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง รวมถึงเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายด้านผลผลิต อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่มีความยืดหยุ่นและนโยบายการคลังที่เข้มแข็ง
“แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปในด้านบวกทแต่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตระหนักว่าภูมิภาคนี้ยังคงเผชิญกับความกดดันทางด้านเศรษฐกิจที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2561 ความไม่แน่นอนยังคงเกิดขึ้นได้หลายปัจจัย โอกาสที่เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และปัญหาความตึงเครียดทางการค้าที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ลมต้านจากเศรษฐกิจโลกเหล่านี้ต้องมีการจัดการอย่างแข็งขัน”