'เพื่อไทย' ยก "ชาติ-ประชาชน" ตีกันพรรคการเมืองจับขั้ว "พปชร."

26 มี.ค. 2562 | 08:49 น.
การเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ที่คะแนนเสียงออกมา 2 ขั้ว มีเสียงสนับสนุนก้ำกึ่งกัน ทำให้ 2 พรรคใหญ่ ต่างอ้างสิทธิประกาศเดินหน้ารวบรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ท่ามกลางการเฝ้าจับตาของสังคมเวลานี้นั้น ล่าสุด ช่วงบ่ายวันอังคารที่ 26 มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อม นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรค และคณะผู้บริหาร ตั้งโต๊ะอ่านแถลงการณ์ เรื่อง : ความเห็นต่อการจัดการเลือกตั้งและจุดยืนการจัดตั้งรัฐบาลตามเจตนารมณ์ของประชาชน ว่า
 
'เพื่อไทย' ยก "ชาติ-ประชาชน" ตีกันพรรคการเมืองจับขั้ว "พปชร."
 
... ตามที่ได้มีเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้ปรากฏข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาและกระบวนการในการจัดการเลือกตั้ง รวมถึงผลของการเลือกตั้งที่ทำให้เห็นถึงกติกาที่ไม่ชอบธรรม นำมาซึ่งการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลาย ว่า เป็นการเลือกตั้งที่ไม่เสรีและเป็นธรรมนั้น

พรรคเพื่อไทยจึงขอแถลง ดังนี้

1.ความเห็นต่อการจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

พรรคเพื่อไทย เห็นว่า การดำเนินการจัดการเลือกตั้งของ กกต. ในครั้งนี้ มีปัญหามาตั้งแต่ต้น เริ่มจากหัวหน้า คสช. ซึ่งมีส่วนได้เสียในการเลือกตั้ง มีอิทธิพลต่อการกำหนดกติกา กำหนดกรรมการ รวมทั้งใช้อำนาจตามมาตรา 44 เข้ามาแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งหลายครั้ง และในระหว่างการเลือกตั้งยังมีความไม่โปร่งใสในหลายขั้นตอน ทั้งกระบวนการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ที่ไม่ระบุจำนวนและสถานที่พิมพ์ ทำให้ตรวจสอบไม่ได้ การปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการเลือกตั้งอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะในรูปแบบของการซื้อเสียง การใช้อำนาจรัฐ การใช้อิทธิพลข่มขู่คุกคามผู้สมัครและผู้สนับสนุนในหลายพื้นที่ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวแพร่หลายโดยทั่วไป จนถึงขั้นตอนการนับคะแนนและการประกาศผลคะแนน ที่คะแนนจากหน่วยเลือกตั้งไม่ตรงกับที่มีการรายงานผล มีคะแนนมากกว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิ อันแสดงให้เห็นว่า มีการใช้อำนาจรัฐเข้ามาแทรกแซงในกระบวนการจัดการเลือกตั้งอย่างเห็นได้ชัด จนเป็นที่มาของการที่ประชาชนได้แสดงเจตจำนงที่จะเข้าชื่อถอดถอน กกต. ขณะนี้กว่า 700,000 คนแล้ว


 
2.ความเห็นต่อผลการเลือกตั้งและจุดยืนในการจัดตั้งรัฐบาล

ผลจากการเลือกตั้งได้สะท้อนให้เห็นถึงระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่จะทำให้เกิดปัญหา ตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีพรรคการเมืองใดมีเสียงข้างมากเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้เอง และผลที่จะเกิดขึ้นต่อการเป็นรัฐบาลผสม ที่จะทำให้ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเรื่องดังกล่าวพรรคเพื่อไทยได้คัดค้านและแสดงความไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ต้น

เมื่อพิจารณาจากผลการเลือกตั้ง โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้มีการแบ่งฝ่ายของประชาชนและของพรรคการเมืองอย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนให้หัวหน้า คสช. สืบทอดอำนาจต่อไป โดยมีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ กับฝ่ายประชาธิปไตยที่คัดค้านการสืบทอดอำนาจดังกล่าว โดยมีพรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วมอื่น ๆ อีกหลายพรรค ซึ่งผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการขณะนับคะแนนได้ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยได้จำนวน ส.ส. มากที่สุด ประมาณ 137 คน ส่วนพรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส. ประมาณ  118 คน จึงต้องถือว่า พรรคเพื่อไทยได้รับฉันทามติจากประชาชนเพื่อให้เข้ามาบริหารประเทศ แต่พรรคพลังประชารัฐกลับอ้างคะแนนเสียงรวมของประชาชน ทั้งที่คะแนนดังกล่าวได้แปลงมาเป็นจำนวน ส.ส. แล้ว นอกจากนี้ เมื่อรวมจำนวน ส.ส. ของพรรคการเมืองทุกพรรค ที่ประกาศชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง ว่า คัดค้านการสืบทอดอำนาจ ก็มีจำนวน ส.ส. มากกว่า 250 คน และมีจำนวนคะแนนเสียงมากกว่าคะแนนเสียงของพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจกว่า 6 ล้านเสียง

 

3.พรรคเพื่อไทย เห็นว่า ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นสะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ดังนั้น การที่พรรคการเมืองบางพรรคจะร่วมตั้งรัฐบาลและสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปนั้น น่าจะเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งรัฐบาลเช่นนี้จะไม่ได้ความยอมรับจากประชาชนและจะเป็นรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาอื่น ๆ ของประชาชนได้เลย

พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองคำนึงถึงประเทศชาติและประชาชน มากกว่าผลประโยชน์ทางการเมืองของตน และพรรคพร้อมที่จะทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองอย่างมีความรับผิดชอบ และสร้างสรรค์เพื่อให้เจตนารมณ์ของประชาชนได้รับการเคารพ และปัญหาของประชาชนได้รับการแก้ไข


พรรคเพื่อไทย
26 มีนาคม 2562