“ปิดอ่าวไทย 1 เดือน”พบฝูงลูกปลาทูชุกชุม

22 มี.ค. 2562 | 09:09 น.

รองอธิบดีกรมประมงฟุ้ง “มาตรการปิดอ่าวไทย” ปี 62 เริ่มเห็นผลเพียงแค่ 1 เดือน พบฝูงลูก “ปลาทู” สัตว์น้ำเศรษฐกิจกลับมาชุกชุมอย่างรวดเร็ว  วอนชาวประมงปฏิบัติตามกฎหมายจนถึงวันที่ 15 พ.ค. ย้ำช่วยกันฟื้นฟูทรัพยากรเพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

 “ปิดอ่าวไทย 1 เดือน”พบฝูงลูกปลาทูชุกชุม

นายอรุณชัย พุทธเจริญ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายชูศักดิ์  จงงาม หัวหน้าหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลชุมพร ซึ่งได้นำเรือตรวจการณ์ประมงออกสำรวจทรัพยากรสัตว์น้ำ หลังได้รับแจ้งจากชาวประมงในพื้นที่ว่า พบฝูงลูกปลาทูจำนวนมากโผล่ที่อ่าวชุมพร บริเวณเกาะเสม็ด ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ระยะห่างจากฝั่งประมาณ 1 กิโลเมตร  ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูปลามีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัวในวัยอ่อน ฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนกลาง  ในที่จับสัตว์น้ำบางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฏร์ธานี ระหว่างวันที่ 15 ก.พ. – 15 พ.ค. ของทุกปี (มาตรการปิดอ่าวไทย)  ซึ่งมีการปรับปรุงกฎหมาย

 “ปิดอ่าวไทย 1 เดือน”พบฝูงลูกปลาทูชุกชุม โดยออกประกาศ ลงวันที่ 31 มกราคม 2561 เพื่อกำหนดพื้นที่และระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนในการปิดอ่าวไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น  และได้กำหนดห้ามใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิด ที่อาจส่งผลต่อการแพร่ขยายพันธุ์ของพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำ และสัตว์น้ำวัยอ่อนในท้องทะเลอ่าวไทย เพื่อรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำให้เกิดความยั่งยืน  โดยเฉพาะ “ปลาทู” ซึ่งเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งผลจากการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวในปี 2562 ล่าสุดนี้ เริ่มเห็นผลของการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำได้อย่างชัดเจน เนื่องจากหลังการประกาศปิดอ่าวไทยเพียง 1 เดือน พบฝูงลูกปลาทูจำนวนมากในบริเวณอ่าวไทย ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของท้องทะเลได้เป็นอย่างดี 

 “ปิดอ่าวไทย 1 เดือน”พบฝูงลูกปลาทูชุกชุม ทั้งนี้กรมประมง จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่มีการควบคุมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข็มงวด เพื่อไม่ให้มีการจับทรัพยากรมาใช้ประโยชน์ก่อนวัยอันควร และขอความร่วมมือให้พี่น้องชาวประมงได้เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อร่วมกันสร้างผลผลิตให้ทรัพยากรสัตว์น้ำกลับคืนความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับการประกอบอาชีพประมงได้อย่างยั่งยืนต่อไป