โพลสำรวจความคิดเห็นโดยมาร์เก็ตบัซซ ถามถึงประเด็นทางสังคมที่ประชาชนเป็นกังวล ปรากฏว่า “ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม” เป็นปัญหาที่คนไทยโหวตให้เป็นปัญหาสำคัญอันดับต้นๆของประเทศมากกว่าปัญหาด้านอื่นๆ เช่น ค่าครองชีพสูงขึ้น, การทุจริตคอรัปชั่น, การจราจรติดขัด, อาชญากรรม และเศรษฐกิจ โพลจากมาร์เก็ตบัซซทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 1,000 คน ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ โดยทำการสำรวจในช่วงเดือนมีนาคม 2562
ซึ่งเมื่อถามเกี่ยวกับปัญหาที่คนไทยมองว่าเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุด พบว่ามลภาวะทางอากาศสูงถึง 55%, รถติด 40%และการเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศ-อุณหภูมิ39% ซึ่งเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 3 อันดับแรกที่คนไทยกังวลมากที่สุดสำหรับพวกเขาและอนาคตของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกรุงเทพ ซึ่งกรุงเทพเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งมีแนวโน้มว่าปัญหามลภาวะอากาศเป็นพิษและรถติดจะเป็นปัญหาใหญ่
ในขณะที่คนไทยมองว่าพวกเขาได้เริ่มทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือตัดสินใจที่จะปรับปรุงอะไรบางอย่าง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยหวังให้สถานการณ์ดีขึ้น มีผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งบอกว่าได้เปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ตัวอย่างเช่น 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามได้พยายามลดการใช้พลังงานที่บ้าน, 41% มีการคัดแยกขยะ, 33%เริ่มรีไซเคิลขยะ และ 30% ลดการใช้กล่องโฟมและถุงพลาสติกเป็นต้น
คนไทยยังมองอีกว่ารัฐบาลและประชาชนควรต้องร่วมกันรับผิดชอบในการแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศของประเทศ
และสำคัญไปกว่านั้นคือ 87% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีแนวโน้มจะโหวตให้พรรคการเมืองที่มีแผนรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม
นายแกรนท์ บาร์โทลี่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมาร์เก็ตบัซซ(Marketbuzzz)เผยว่า ไม่แปลกใจเลยที่โพลล่าสุดรายงานว่ามลภาวะทางอากาศมีผลกระทบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก แต่การรับรู้และข้อมูลข้าวสารเพียงแค่นี้จะไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนไทยต้องการมากกว่าแค่การพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และต้องการให้คนไทยและรัฐบาลแสดงความรับผิดชอบเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งแวดล้อมจะได้รับการดูแลก่อนที่จะสายเกินไป
“เราไม่สามารถหันหลังให้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศที่กำลังเผชิญได้ และการสำรวจครั้งนี้ได้ชี้ชัดให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด แต่ต้องอาศัยแผนความร่วมมือและนโยบายที่ต้องการช่วยเหลือคนไทยอย่างจริงใจ เพื่อที่จะชักจูงให้พวกเขาเปลี่ยนพฤติกรรม รัฐบาลพร้อมที่จะเป็นแกนนำให้เรื่องนี้หรือไม่”