จับแล้ว! "หนุ่มตุรกี" คลั่งกราดยิง ดับ 3 บนรถรางเนเธอร์แลนด์
สื่อต่างประเทศรายงานว่า หลังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่ผู้คนบนรถรางที่กำลังวิ่งอยู่ในเมืองยูเทร็คท์ (Utrecht) ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางและเป็นเมืองใหญ่ อันดับ 4 ของประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2562 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 3 คน และบาดเจ็บ 5 คน ซึ่งในจำนวนนี้ 3 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในที่สุด ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้ว คือ นายก๊อคเม็น ทานิส ชายชาวตุรกี วัย 37 ปี เขาถูกจับกุมหลังหลบหนี และตำรวจต้องปิดพื้นที่ตามล่าตัวเขาเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ในเบื้องต้น ตำรวจคาดว่า ผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มก่อการร้าย แต่จนถึงขณะนี้ แรงจูงใจในการก่อเหตุของนายทานิสยังไม่เป็นที่เปิดเผย มีรายงานข่าวว่า เขาอาจก่อเหตุด้วยเหตุผลความขัดแย้งภายในครอบครัว ซึ่งสอดคล้องกับสำนักข่าวอานาโดลูของประเทศตุรกีที่สัมภาษณ์ญาติของนายทานิส พบว่า ผู้ก่อเหตุต้องการยิงสตรีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นญาติของเขา แต่หลังจากนั้น เขาก็ยิงผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือเธอด้วย ประธานาธิบดี "ตอยยิป เออร์โดแกน" ของตุรกี กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยว่า หน่วยข่าวกรองตุรกีจะสืบสวนให้แน่ชัดว่า เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องในครอบครัว หรือ เป็นเหตุก่อการร้ายกันแน่
สำนักงานต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติของเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่า ภายหลังการก่อเหตุ ทางการได้เพิ่มความเข้มงวดในการระวังภัยก่อการร้ายในเมืองยูเทร็คท์ถึงระดับสูงสุด เช่น ให้สถานศึกษาปิดประตูรั้วเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนนักศึกษา และตำรวจได้เพิ่มการเฝ้าระวังเข้มงวดที่สนามบินและสถานที่สำคัญอื่น ๆ รวมถึงมัสยิดของชาวมุสลิม แต่เมื่อนายทานิสถูกจับกุมตัว ทางการก็ลดระดับมาตรการระวังภัยลงมา 1 ระดับ
นายมาร์ค รัตเทอ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ เรียกประชุมฉุกเฉินทันทีหลังเกิดเหตุ เนื่องจากเหตุรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ 3 วันก่อนหน้านั้น ได้เกิดเหตุมือปืนคุ้มคลั่งกราดยิงในมัสยิด 2 แห่ง ในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีเแลนด์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 50 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ทำให้ผู้นำนิวซีแลนด์ประกาศจะปฏิรูปกฎหมายควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวดมากขึ้น
รายงานข่าวระบุว่า จุดที่เกิดเหตุเป็นย่านชุมชนที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบชานเมืองยูเทร็คท์ ซึ่งเป็นย่านที่มีผู้อพยพอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก การก่อเหตุฆาตกรรมด้วยอาวุธปืนในเมืองยูเทร็คท์และแม้แต่ที่อื่น ๆ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ถือว่ามีน้อยมาก เหตุการณ์ครั้งนี้จึงนับเป็นคดีสะเทือนขวัญที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมา
