"ทริสฯ" ประกาศเครดิตพินิจ TCAP แนวโน้ม "ลบ" และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ A+

15 มี.ค. 2562 | 04:37 น.

"ทริส เรทติ้ง" ประกาศ "เครดิตพินิจ" แนวโน้ม "Negative" หรือ "ลบ" สำหรับอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ของบริษัท ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ "A+" ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน), บริษัททุนธนชาต ING Groep N.V. (ING) และ The Bank of Nova Scotia(BNS) เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2562 เพื่อดำเนินการรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต

"ทริส เรทติ้ง" ยังคงเห็นความไม่แน่นอนของธุรกรรมดังกล่าว ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก่อนหน้านี้ เนื่องจากการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (Due Diligence) ของทั้ง 2 ธนาคาร จะใช้เวลาอีก 2-3 เดือน และยังต้องผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 ธนาคาร ซึ่งหากธุรกรรมดังกล่าวได้รับความเห็นชอบกระบวนการรวมกิจการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2562 นี้

"ทริสเรทติ้ง" มองว่า ธุรกรรมดังกล่าวส่งผลไปในทางบวก เนื่องจากหลังจากการรวมกิจการของธนาคารทั้ง 2แล้ว จะทำให้สถานะทางการตลาดปรับตัวดีขึ้นและมีความสำคัญต่อระบบเพิ่มมากขึ้น

"ทริส เรทติ้ง" คาดว่า การรวมกิจการจะช่วยให้เกิดการเกื้อหนุนกันทางด้านสินทรัพย์และเงินทุน โดยคาดว่า บริษัทจะรับรู้กำไรจากการขายหุ้นของธนาคารธนชาตที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 51% ซึ่งจะช่วยให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งมากขึ้น หลังจากธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้น อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากการประกาศเครดิตพินิจในครั้งนี้
 

อย่างไรก็ตาม โดยวิธีการจัดอันดับเครดิตของ "ทริส เรทติ้ง" จึงได้ประกาศเครดิตพินิจแนวโน้ม "Negative" หรือ "ลบ" ต่ออันดับเครดิตของบริษัท โดยอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลง หรือ ไม่เปลี่ยนแปลงจากในระดับปัจจุบัน เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นของบริษัทในธนาคารธนชาต การพิจารณาอันดับเครดิตในอนาคตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทและบริษัทที่เกี่ยวข้อง และ/หรือ กระแสเงินสดที่บริษัทจะได้รับจากธนาคารใหม่ ซึ่งเกิดจากการรวมกิจการและจากบริษัทย่อยหลักอื่น ๆ

"ทริส เรทติ้ง" คาดว่าจะสามารถทบทวนเครดิตพินิจของบริษัทได้ หากธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้น หรือ มีข้อมูลเพียงพอที่จะทำการวิเคราะห์ในเชิงลึกและสามารถให้ข้อสรุปต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้


รายละเอียดธุรกรรม

จากแผนของธุรกรรมที่ประกาศสู่สาธารณชน การรวมกิจการจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารธนชาตเท่านั้น โดยธนาคารธนชาตจะต้องขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยส่วนใหญ่และเงินลงทุนอื่น ๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารในปัจจุบัน ตามสัดส่วนการถือหุ้น (บริษัททุนธนชาต 51% และ BNS 49%) ซึ่งบริษัทย่อยของธนาคารธนชาตที่จะต้องมีการขายเงินลงทุน ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) (สัดส่วนการถือหุ้น 100%), บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (65%), บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) (100%) และบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด (100%)

ในการนี้ ธนาคารทหารไทย คาดว่า การรวมกิจการจะต้องใช้เงินลงทุน มูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 130,000-140,000 ล้านบาท โดยจะมาจากการออกหุ้นเพิ่มทุนในสัดส่วน 70% และจากการกู้ยืมอีก 30% (ส่วนหนึ่งอาจมาจากสภาพคล่องส่วนเกินของธนาคารทหารไทย) ในส่วนของการออกหุ้นเพิ่มทุนนั้น จะประกอบไปด้วย

1) การออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของธนาคารทหารไทย (ประมาณ 40,000-45,000 ล้านบาท)

และ 2) การออกหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บริษัททุนธนชาต และ BNS โดยคิดมูลค่าหุ้นเท่ากับ 1.1 เท่าของมูลค่าทางบัญชีล่าสุดของธนาคารทหารไทย (ประมาณ 50,000-55,000 ล้านบาท)


หากการรวมกิจการสำเร็จ ก็คาดว่า ING และบริษัททุนธนชาตจะถือหุ้นในสัดส่วนมากกว่า 20% ในธนาคารใหม่ที่จะเกิดจากการรวมกิจการ ในขณะที่ กระทรวงการคลังน่าจะถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่า 20% ส่วน BNS นั้น ก็คาดว่าจะถือหุ้นในสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในธนาคารใหม่ สำหรับ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง และบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตนั้น จะกลายมาเป็นบริษัทย่อยของบริษัททุนธนชาต

"ทริสฯ" ประกาศเครดิตพินิจ TCAP แนวโน้ม "ลบ" และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ A+