"พปชร." ปล่อยนโยบายหมัดเด็ดโค้งสุดท้าย ดันค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท จบ ป.ตรี เงินเดือน 20,000 บาท ลดภาษีบุคคลธรรมดา 10% เผยจะทำให้ประเทศมีเงินเพิ่ม 1.24 ล้านล้านบาทต่อปี พร้อมประกาศ 3 พันธสัญญา ไม่นิรโทษกรรมคนผิด ไม่พาประชาชนกลับสู่วังวนความขัดแย้ง
วันนี้ (14 มี.ค.) แกนนำพรรคพลังประชารัฐ นำโดย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ร่วมแถลงเปิดนโยบายโค้งสุดท้าย "ประเทศไทยต้องรวย ด้วยพลังประชารัฐ" ซึ่งเป็นการประกาศพันธสัญญา 3 ด้าน ประกอบด้วย คนไทยต้องรวยด้วยความสงบ รวยด้วยความสุข และรวยด้วยความหวัง
นายอุตตมได้เปิดเผยพันธสัญญาสุดท้ายที่ต้องการทำให้คนไทยรวยด้วยความหวัง ราคาผลผลิตทางการเกษตรต้องได้รับการดูแลบางช่วงเวลา เช่น ข้าวเจ้า 12,000 บาทขึ้นไปต่อตัน, ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาทขึ้นไปต่อตัน, อ้อย 1,000 บาทขึ้นไปต่อตัน, ยางพารา 65 บาทขึ้นไปต่อกิโลกรัม, มันสำปะหลัง 3 บาทขึ้นไปต่อกิโลกรัม และปาล์มต้องทำให้ได้ราคาเป้าหมายที่ 5 บาทขึ้นไปต่อกิโลกรัม ทั้งหมดต้องทำได้ เพราะเกษตรกรประสบปัญหามาเยอะ เราต้องยื่นมือไปช่วยฉุดเขาขึ้นมาก่อน ให้ทุกคนรวยอย่างมั่นคง ยั่งยืน
ขณะที่ เราจะผลักดันค่าแรงงานขั้นต่ำ 400-425 บาทต่อวัน อาชีวะศึกษา 18,000 บาทต่อเดือน และปริญญาตรี 20,000 ต่อเดือน ทั้งหมดไม่สูงเกินไป เผลอ ๆ อาจจะต่ำเกินไปหรือไม่ก็ไม่ทราบ นโยบายเราเน้นเรื่องคุณภาพ ต้องทำให้คนมีความหวัง ในส่วนผู้ใช้แรงงาน เราจะดูแลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
ส่วนพนักงานเงินเดือน จะได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% ในทุกขั้นบันได หมายความว่า คนที่มีรายได้ต่ำกว่า 2,000,000 บาทต่อปี ไม่ต้องเสียภาษี นอกจากนั้น เราจะยกเว้นภาษีเด็กจบใหม่ 5 ปี ยกเว้นภาษีค้าขายออนไลน์ 2 ปี ส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ล้มแล้วต้องลุกได้ ต้องได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ยกระดับขีดความสามารถร้านค้าโชว์ห่วยใช้ดิจิทัล รวมกลุ่มผู้ค้าให้มีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิต พร้อมรับสินเชื่อ 1 ล้านบาทต่อโชว์ห่วย เพื่อปรับตัว
ขณะที่ ในภาพรวม เราจะสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพิ่มรายได้ประเทศเป็น 19 ล้านล้านบาท ภายในปี 2565 ด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจดิจิทัล ขับเคลื่อนภาคการเกษตรฐานรากที่ยั่งยืน สร้างการลงทุนเพื่อเกิดการสร้างงานครั้งใหญ่ เพิ่มรายได้เป็น 2 ล้านล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ท่องเที่ยว 4.5 ล้านล้านบาท และสร้างรายได้เศรษฐกิจฐากราก 2 ล้านล้านบาท
ส่วนแผนการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ เราได้วางแผนการหาเงินผ่านการดำเนินการ 7 เรื่องสำคัญ เช่น ปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษี ปฏิรูปการบริหารสินทรัพย์ของประเทศ เน้นการลงทุนร่วมกับเอกชน เพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐ ทั้งหมดนี้จะทำให้ประเทศมีเงินเพิ่มเพื่อนำไปใช้ในเรื่องอื่น ประมาณ 1.24 ล้านล้านบาทต่อปี
"นโยบายทั้งหมด เราไม่ได้ทำแบบเลื่อนลอย เพราะเราดูแล้วว่าจะใช้เงิน เราก็หาเงินเป็น และทำได้จริง นี่คือ ภาพรวมทั้งหมด ที่เราจะเดินหน้าไปด้วยกัน ประเทศไทยต้องรวย ด้วยพลังประชารัฐ" นายอุตตม ระบุ
ด้าน นายสุวิทย์ กล่าวว่า นโยบายรวยความสุข นอกเหนือความขัดแย้ง ปมที่สำคัญที่ต้องแก้ไข คือ ความเหลื่อมล้ำ ทำให้เกิดความเท่าเทียม จึงนำไปสู่ความสุข โดยเราจะเดินหน้าบัตรประชารัฐ ซึ่งจะเป็นคำตอบของการลดความเหลื่อมล้ำ นอกเหนือจาก 14.5 ล้านคน เราจะต้องดำเนินนโยบายเพิ่มคนเพิ่มสิทธิ์ให้มากขึ้น นอกจากนั้น เราจะดำเนินนโยบายหมดนี้มีเงินออม โดยเริ่มจากการพักหนี้-พักดอกเบี้ยกองทุนหมู่บ้าน ฟื้นฟูเติมทุนสร้างโอกาสกับประชาชน รวมถึงนโยบายมารดาประชารัฐ ที่เป็นนโยบายที่ทำให้ทุกคนเกิดมาแล้วต้องมีคุณภาพ ดูแลเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ขณะเดียวกัน เราพร้อมจะเดินหน้านโยบายประชารัฐ สร้างคน คนสร้างชาติ โดยเน้นการทำนโยบายดูแลคนตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา
ขณะที่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เราเห็นสัญญาณบางอย่างของความคิดที่แตกต่างกันของกลุ่มการเมือง การรวยด้วยความสงบถือเป็นพื้นฐานจำเป็นอย่างแรกที่ต้องมี หากขาดสิ่งนี้ ความสุขและความหวังจะมาไม่ถึง ไม่ว่าพรรคการเมืองใดที่นำเสนอนโยบายก็จะไปไม่ถึงดวงดาว จุดยืนของพรรคจะไม่เป็นคู่ขัดแย้งตั้งแต่วันแรก แม้จะมีหลายฝ่ายผลักให้เราไปเป็นคู่ขัดแย้ง ยิ่งการเมืองแบ่งเป็น 3 ก๊ก ลักษณะอย่างนี้ เราขอแสดงจุดยืนการหาทางออกให้กับประเทศ ลดการเกิดเงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัด เราขอยืนหยัดในจุดยืนที่เป็นฝ่ายปรองดอง พาทุกคนออกสู่ความขัดแย้ง
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พปชร. ยืนหยัดเคารพกติกา ไม่วิพากษ์วิจารณ์กติกา ไม่ว่าจะเป็น รธน. หรือ กติกาโดย กกต. หากทุกฝ่ายเข้าสู่การเมือง วิพากษ์วิจารณ์กติกา จะล้มล้างกติกา นี่คือ จุดแรกของการเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การที่ไม่มีกติกา วันนี้ขอเตือนความจำทุกคน จำได้หรือไม่ เรียกร้องขอคืนอำนาจให้ประชาชน เรียกร้องและยอมรับกติกา เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง อย่าเปลี่ยนคำพูด อย่าตั้งกติกาเป็นเงื่อนไขการเมือง และการตัดสินทั้งหมดอยู่ในกรอบกติกาและการตัดสินใจของประชาชน
"พรรคเรามีจุดยืนมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ไม่ชักนำคนกลับไปสู่วังวนความขัดแย้ง ไม่มีประโยชน์ต่อประเทศเลย หากหลังการเลือกตั้งไม่ว่าฝ่ายใดชนะ และนำประเทศกลับไปสู่วังวนแห่งความขัดแย้ง เราต้องหยุดและพอ เพราะประเทศบอบช้ำจากความขัดแย้งมากว่า 10 ปี เราไม่เอาอีกแล้ว ความขัดแย้ง และการแบ่งแยกประชาชน ขออย่านำประเทศกลับไปสู่วาทกรรมของความขัดแย้ง และเราไม่สร้างวาทกรรมของความขัดแย้งมาอย่างต่อเนื่อง อีกสิ่งหนึ่งที่เสนอจุดยืน คือ เราจะไม่นิรโทษกรรมคนผิด คนผิดจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมมีความศักดิ์สิทธิ์ และนี่คือ สูตรสำเร็จของการพาคนไทยกลับมารวยความสงบ"