ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ดันO2O ปูพรมตู้จำหน่ายอาหารสัตว์อัตโนมัติ80จุดทั่วไทย
จับตาธุรกิจอาหารสุนัข 1.9 หมื่นล้านคึกคัก โต 8% สวนกระแสเศรษฐกิจ “เจอร์ไฮ” ชูกลยุทธ์ O2O ผสานออนไลน์-ออฟไลน์ รุกเต็มรูปแบบ ล่าสุดเปิดตัวตู้จำหน่ายอาหารสัตว์อัตโนมัติ พร้อมแจ้งเกิดน้องใหม่ “จินนี่” เอาใจคนรักแมว
นายกิติศักดิ์ ลิ้มอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็ทฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสุนัขภายใต้แบรนด์ “เจอร์ไฮ” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้จะเป็นปีที่ให้ความสำคัญกับการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ที่นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ควบคู่กับความสัมพันธ์ความรักระหว่างคนที่มีต่อสัตว์เลี้ยง เพื่อรองรับการเข้ามาของยุคดิจิทัล โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินแผนงานภายใต้ 3 ปัจจัยหลักได้แก่ 1.ประโยชน์ของสัตว์เลี้ยงและผู้เลี้ยง 2.คู่ค้า 3. บริษัทที่จะต้องได้รับผลประโยชน์และมีการเติบโตที่ยั่งยืนร่วมกัน
กิติศักดิ์ ลิ้มอำไพ
พร้อมกันนี้ยังได้นำกลยุทธ์ทางการตลาดแบบ O2O (Online to Offline ) เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพทางการขาย ด้วยการเปิดตัวตู้จำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงอัตโนมัติ และชั้นวางจำหน่ายสินค้าอัจฉริยะ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เลี้ยงยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว สามารถสั่งซื้อสินค้าและจัดส่งผ่านระบบออนไลน์หน้าตู้ และชั้นวางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวางเป้าติดตั้งจุดจำหน่ายดังกล่าวร่วมกับคู่ค้าให้ได้ 80 จุดในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวอาหารสำหรับแมวภายใต้แบรนด์จินนี่ “Jinny” ออกมารุกตลาดเต็มรูปแบบในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ หลังจากนำร่องในกลุ่มสแน็กสำหรับแมวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี โดยมีแผนวางจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ดังกล่าวแบบครบทุกไลน์สินค้าในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้
“คนไทยนิยมเลี้ยงสุนัขมาเป็นอันดับ 1 ขณะที่รองลงมาคือแมว และกระต่าย ตามลำดับ ซึ่งปัจจุบันเมืองไทยมีจำนวนสัตว์เลี้ยงทั้งหมาและแมวจำนวนราว 10 ล้านตัว แบ่งเป็นสุนัข 7.4 ล้านตัว และแมว 2.6 ล้านตัว โดยในตลาดคนรักแมวมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสทางการเติบโตในตลาดคนรักแมวอย่างต่อเนื่อง”
ด้านแผนงานในต่างประเทศปีนี้บริษัทจะโฟกัสการทำตลาดไปที่จีน เกาหลี และญี่ปุ่นเป็นหลัก รูปแบบการผนึกกับพันธมิตรท้องถิ่นและการซินเนอร์ยีการเติบโตควบคู่กับบริษัทในเครือ ในการขยายตลาดเพิ่มเติม เนื่องจากทั้ง 3 ประเทศ ถือเป็น กลุ่มประเทศที่มีการอัตราการเติบโตของแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสุนัขเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นบริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสทางการเติบโต ควบคู่กับการขยายเข้าไปจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ของแต่ละประเทศมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีการทำตลาดอยู่แล้วใน 18 ประเทศทั่วโลก และมีสัดส่วนการส่งออกไปยังต่างประเทศ 50% โดย 80% ในตลาดต่างประเทศถือเป็นการทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย
อย่างไรก็ตามภาพรวมตลาดอาหารสุนัขเมืองไทยมีมูลค่ากว่า 1.9 หมื่นล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี แบ่งเป็น กลุ่ม Dry dog Food หรืออาหารแห้งและอาหารแบบเม็ด 66%, กลุ่ม Wet dog Food หรืออาหารเปียก 14% และกลุ่ม Dog Treats หรือขนมน้องสุนัข 20% สำหรับในส่วนของบริษัทวางเป้าหมายการเติบโตที่ 18-20% ต่อปี โดยปัจจุบันบริษัทครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 36% เพิ่มจากปีที่ผ่านมาที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 34% ครองความเป็นผู้นำในตลาดอาหารสุนัขต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ขณะที่ในสิ้นปีนี้จากแผนการรุกตลาดอย่างต่อเนื่องมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า 36% พร้อมครองความเป็นผู้นำในตลาดอาหารสุนัขต่อเนื่อง
หน้า 30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3,452 วันที่ 14-16 มีนาคม 2562
