ธปท. ชี้! การค้าโลกปีนี้ท้าทายมากขึ้น

04 มี.ค. 2562 | 09:12 น.

ธปท. เห็นพ้องการค้าโลกปีนี้จะท้าทาย และต้องร่วมมือช่วยผู้ประกอบรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจและค่าเงิน
 

นางสาวชิรา อารมย์ดี


นางสาวชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า วันนี้สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) และ ธปท. ได้หารือร่วมกันถึงทิศทางการค้าโลก การส่งออกของไทย และค่าเงิน โดยเห็นร่วมกันว่า บรรยากาศการค้าโลกในปีนี้ โดยรวมเศรษฐกิจโลกจะท้าทายมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และโจทย์สำคัญ คือ ผู้ประกอบการจะสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้อย่างไร

สำหรับการส่งออกของไทยที่ชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะบรรยากาศการค้าโลก (Global Trade) การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมทั้งการปรับลด Inventory ของผู้ประกอบการ จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการส่งออกของประเทศอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มชะลอลง เช่น การส่งออกของสิงคโปร์ ที่ติดลบมากกว่า 10% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

ขณะที่ การส่งออกในบางอุตสาหกรรม เช่น ภาคอิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอลง เป็นผลจาก Trade War ที่ผลกระทบเริ่มชัดเจนมากขึ้น และแนวโน้มการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับบรรยากาศของการค้าระหว่างประเทศและอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าเป็นหลัก ขณะที่ ผลกระทบของค่าเงินต่อการส่งออกมีไม่มาก และความสัมพันธ์ของ 2 เรื่องนี้ ไม่ชัดเจน ดังที่เห็นได้จากการส่งออกของประเทศเพื่อนบ้านที่ชะลอลง แม้ค่าเงินของเขาจะไม่ได้แข็งค่าเท่าเงินบาท

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2562 เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 2.3% เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเป็นสำคัญ ในขณะที่ เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติไม่ได้ทำให้เงินบาทแข็งค่า ดังที่เห็นจากตัวเลขส่วนนี้ ว่า เป็นการไหลออกสุทธิ

ภาพรวมเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินของประเทศ Emerging Markets และประเทศเพื่อนบ้าน โดยการแข็งค่าและความผันผวนของเงินบาทอยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ในบางช่วงที่เงินบาทแข็งค่าเร็วในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ ธปท. ได้เข้าดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เวลากับเอกชนในการปรับตัว ในระยะข้างหน้า ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนเคลื่อนไหวได้ 2 ทาง ตามความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ดังนั้น ภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทั้ง 2 ด้าน อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทำได้หลายวิธี เริ่มจากการเลือกกำหนดราคาสินค้า (Invoicing) ในรูปเงินบาท หรือ เงินสกุลคู่ค้า แทนการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมาผันผวนมาก ส่วนหนึ่งจากนโยบายในเรื่องสำคัญ เช่น Trade War ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งปัจจุบัน ผู้ประกอบการไทยยังเลือกกำหนดราคาในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ เกือบ 80% แม้จะค้าขายกับผู้ประกอบการสหรัฐฯ เพียง 10% กว่าเท่านั้นเอง

สำหรับผู้ประกอบการที่ในอนาคตมีภาระต้องชำระเงินในสกุลต่างประเทศ ก็อาจฝากเงินไว้ในรูปเงินตราต่างประเทศ (FCD) เพื่อลดผลกระทบจากการผันผวนของค่าเงิน ซึ่งปัจจุบัน ธปท. ได้เผยแพร่อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม FCD บนเว็บไซต์ ธปท. เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม FCD ระหว่างธนาคารได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลจากการที่ สรท. ได้เข้าหารือกับ ธปท. ในการหารือครั้งที่ผ่านมา


ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินป้องกันความเสี่ยง เช่น การซื้อ Options ปัจจุบัน ภาครัฐมีโครงการ FX Options ระยะที่ 2 เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย. 2561 เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถซื้อ Options หรือ Lock Rate เพื่อประกันความเสี่ยง โดยโครงการในระยะที่ 2 ได้ขยายวงเงินค่าธรรมเนียมที่ภาครัฐสนับสนุน จาก 30,000 บาท เป็น 50,000 บาทต่อราย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถล็อกเรท มูลค่า 1.5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4.75 ล้านบาท โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จึงอยากจะประชาสัมพันธ์โครงการนี้

ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการใช้เครื่องมือได้หลากหลาย ธปท. ได้ผลักดันให้มีการเปิดเผยราคา Forward บนเว็บไซต์ ธปท. เพื่อเพิ่มความโปร่งใส และให้ผู้ประกอบการสามารถใช้เป็นราคาอ้างอิงในการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว และสนับสนุนการต่อรองราคาได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำธุรกรรม FX ธปท. ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงิน เช่น ลดขั้นตอนและเอกสารประกอบการทำธุรกรรม FX รวมถึงการอนุญาตให้นักลงทุนไทยที่มีสินทรัพย์ทางการเงิน ตั้งแต่ 50 ล้านบาท สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางในไทย ในวงเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อปี และภาคเอกชนที่ต้องการความสะดวกในเรื่องการทำธุรกรรม FX สามารถสมัครเป็น Qualified Companies (QC) ได้ ซึ่งจะทำให้คล่องตัวขึ้นในเรื่องการแสดงเอกสารหลักฐาน

สุดท้ายนี้ ในจังหวะที่เงินบาทแข็งค่าเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์นำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อยกระดับผลิตภาพ ลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทย และจะช่วยให้มีอำนาจในการกำหนดราคา (Pricing Power) ได้ดีขึ้นในระยะยาว

สรท. และ ธปท. เห็นร่วมกันว่า ท้ายที่สุด ในระยะยาวไม่มีใครสามารถกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนได้ เพราะเรื่องนี้เป็นผลจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ควบคุมไม่ได้เป็นสำคัญ แต่โจทย์ที่อาจจะสำคัญมากกว่าและต้องร่วมมือกัน คือ การช่วยผู้ประกอบการไทยให้สามารถปรับตัวและรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นเรื่องที่จะอยู่กับเราอีกนาน
 

ธปท. ชี้! การค้าโลกปีนี้ท้าทายมากขึ้น