"ดีป้า"ชู"ภูเก็ต–เชียงใหม่-ขอนแก่น" เมืองต้นแบบสมาร์ทซิตี้
ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า(depa) กล่าวถึง ความก้าวหน้าของโครงการสมาร์ทซิตี้ที่ดีป้าให้การสนับสนุน และเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ายมีธรรม ณ ระนอง และนายพรชัย หอมชื่น ผู้ช่วยผู้อำนวยการดีป้า ด้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ 3 จังหวัดสมาร์ทซิตี้ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และขอนแก่น
ทั้ง 3 จังหวัดนั้นได้วางโมเดลต้นแบบเป็น"สมาร์ท ทัวริซึม" โดยเริ่มจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การดำเนินงานศูนย์ IOC (Intelligent Operations Center) เชื่อมโยงการออกแบบระบบ City data platform และ City security platform ทั้งนี้ จะเชื่อมสู่การพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ ผ่าน smart models และระบบบริหารจัดการเมืองต่อไป
ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ในส่วนของภูเก็ต ที่ผ่านมาได้ดำเนินการ ด้าน City Data Platform เรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลการเข้าพักนักท่องเที่ยวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกรมการปกครอง รวมถึงข้อมูลบุคคล ยานพาหนะของผู้ต้องหา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนข้อมูลยานพาหนะกรมการขนส่งทางบก และ Smart Safety ในเรื่อง พัฒนา Sandbox ด้านความปลอดภัยทางทะเล การเพิ่มจุดติดตั้ง CCTV ตามการสำรวจของตำรวจภูธรจังหวัด และหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายของจังหวัดในการ พัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ ผอ.ดีป้า บอกว่าได้ส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ประกอบด้วยการพัฒนาต้นแบบ Smart Agriculture และคัดเลือกอุปกรณ์ IoT ด้านการเกษตร ขณะที่ จ.ขอนแก่น พัฒนาด้านสาธารณะสุขและการแพทย์อัจฉริยะ สร้าง Smart Ambulance ด้วยเทคโนโลยี Teleconference บนรถเพื่อการประสานงานกับหมอประจำศูนย์แพทย์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยในระยะแรกมุ่งเป้าให้เกิด Smart Health & Medical Hub
“ในการเป็นเจ้าภาพอาเซียนในปีนี้ ดีป้าจะขับเคลื่อนโครงการสมาร์ทซิตี้ (ASEAN Smart city Network: ASCN) ผ่าน ซิสเตอร์ซิตี้ หรือ การจับคู่เมืองที่มีรูปแบบการพัฒนาเมืองที่คล้ายกันและเมืองที่มีโจทย์เหมือนกัน หรือเมืองที่มีพื้นที่ติดกันเช่นเมืองชายขอบ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการดำเนินงานร่วมกัน เช่น การตรวจรถผ่านเข้าเมือง การตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น” ดร.ณัฐพล กล่าว
ทั้งนี้โครงการสมาร์ทซิตี้ตามที่รัฐบาลได้ดำหนดเป้าหมายไว้ในเฟสที่สองคือพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดอีอีซีได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา มีแผนดำเนินงานด้าน Smart Mobility: พัฒนา Data Traffics การจราจรในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง ด้านSmart Living: พัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ ความปลอดภัย ของประชากรในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบัง และพัทยา ด้าน Smart Community: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรและอุบัติเหตุในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังและบริเวณโดยรอบ ด้าน Smart Environment: นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อรายงานข้อมูลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และด้าน Smart Economy: เพื่อให้เกิด tourism data analytic platform พื้นที่เมืองพัทยา และดำเนินการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในการเชื่อมโยงข้อมูลเมืองและเป็นศูนย์กลางข้อมูลขนาดใหญ่ Intelligent Operations Center ซึ่งจะดำเนินการที่ดีป้าลาดพร้าว
ทั้ง 3 จังหวัดนั้นได้วางโมเดลต้นแบบเป็น"สมาร์ท ทัวริซึม" โดยเริ่มจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การดำเนินงานศูนย์ IOC (Intelligent Operations Center) เชื่อมโยงการออกแบบระบบ City data platform และ City security platform ทั้งนี้ จะเชื่อมสู่การพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ ผ่าน smart models และระบบบริหารจัดการเมืองต่อไป
ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ในส่วนของภูเก็ต ที่ผ่านมาได้ดำเนินการ ด้าน City Data Platform เรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลการเข้าพักนักท่องเที่ยวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกรมการปกครอง รวมถึงข้อมูลบุคคล ยานพาหนะของผู้ต้องหา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนข้อมูลยานพาหนะกรมการขนส่งทางบก และ Smart Safety ในเรื่อง พัฒนา Sandbox ด้านความปลอดภัยทางทะเล การเพิ่มจุดติดตั้ง CCTV ตามการสำรวจของตำรวจภูธรจังหวัด และหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายของจังหวัดในการ พัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ ผอ.ดีป้า บอกว่าได้ส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ประกอบด้วยการพัฒนาต้นแบบ Smart Agriculture และคัดเลือกอุปกรณ์ IoT ด้านการเกษตร ขณะที่ จ.ขอนแก่น พัฒนาด้านสาธารณะสุขและการแพทย์อัจฉริยะ สร้าง Smart Ambulance ด้วยเทคโนโลยี Teleconference บนรถเพื่อการประสานงานกับหมอประจำศูนย์แพทย์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยในระยะแรกมุ่งเป้าให้เกิด Smart Health & Medical Hub
“ในการเป็นเจ้าภาพอาเซียนในปีนี้ ดีป้าจะขับเคลื่อนโครงการสมาร์ทซิตี้ (ASEAN Smart city Network: ASCN) ผ่าน ซิสเตอร์ซิตี้ หรือ การจับคู่เมืองที่มีรูปแบบการพัฒนาเมืองที่คล้ายกันและเมืองที่มีโจทย์เหมือนกัน หรือเมืองที่มีพื้นที่ติดกันเช่นเมืองชายขอบ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการดำเนินงานร่วมกัน เช่น การตรวจรถผ่านเข้าเมือง การตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น” ดร.ณัฐพล กล่าว
ทั้งนี้โครงการสมาร์ทซิตี้ตามที่รัฐบาลได้ดำหนดเป้าหมายไว้ในเฟสที่สองคือพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดอีอีซีได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา มีแผนดำเนินงานด้าน Smart Mobility: พัฒนา Data Traffics การจราจรในบริเวณท่าเรือแหลมฉบัง ด้านSmart Living: พัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ ความปลอดภัย ของประชากรในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบัง และพัทยา ด้าน Smart Community: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรและอุบัติเหตุในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังและบริเวณโดยรอบ ด้าน Smart Environment: นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อรายงานข้อมูลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และด้าน Smart Economy: เพื่อให้เกิด tourism data analytic platform พื้นที่เมืองพัทยา และดำเนินการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในการเชื่อมโยงข้อมูลเมืองและเป็นศูนย์กลางข้อมูลขนาดใหญ่ Intelligent Operations Center ซึ่งจะดำเนินการที่ดีป้าลาดพร้าว
