BEM ยุติข้อพิพาทฟ้องค่าเสียหาย กทพ. 1.37 แสนล้าน แลกต่ออายุสัปทานถึงปี 2600

07 ก.พ. 2562 | 06:05 น.
บอร์ด BEM ลงมติยุติข้อพิพาท ยกฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจาก "กทพ." 137,517 ล้านบาท แลกต่ออายุสัมปทาน 3 ฉบับ ทางด่วนขั้นที่ 2 ,ส่วนต่อขยาย(ส่วนดี) และทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด ไปสิ้นสุด 21 เม.ย. 2600 พร้อมสิทธิลงทุนปรับปรุงระบบทางด่วนขั้นที่ 2 มูลค่า 3.15 หมื่นล้านบาท

นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) (BEM) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2562 ได้มีมติอนุมัติให้นําเสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/25}62 ในวันที่ 18 มี.ค. 2562 เพื่อพิจารณาอนุมัติให้บริษัทฯ และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จํากัด ("บริษัทย่อย") ยุติข้อพิพาททั้งหมดกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยการทบทวนและแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 สัญญาเพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ซึ่งในการยุติข้อพิพาททั้งหมดดังกล่าว กทพ. และบริษัทฯ บริษัทย่อย ตกลงที่จะมีการขยายระยะเวลาสัญญาสัมปทานและให้บริษัทฯ ลงทุนปรับปรุงระบบทางด่วนขั้นที่ 2

บริษัท/บริษัทย่อยมีข้อพิพาทกับ กทพ. โดยได้ยื่นเรียกร้องค่าเสียหายจาก กทพ. จํานวน 11 เรื่อง มีมูลค่าฟ้องร้องจนถึงวันที่ยื่นข้อพิพาททั้งสิ้น ประมาณ 54,504 ล้านบาท ตามที่เปิดเผยไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ณ วันที่ 30 ก.ย. 2561 ซึ่งมีการนําเข้าสู่การพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการตามขั้นตอนระงับข้อพิพาทตามสัญญาและในชั้นศาลปกครอง อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อพิพาทตามสัญญา ซึ่งมีประเด็นเดียวกันหรือประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกันกับข้อพิพาทที่มีการยื่นฟ้องร้องคดีต่อศาลและต่อคณะอนุญาโตตุลาการแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นตอน คณะผู้พิจารณาและในขั้นตอนยื่นหนังสือบอกกล่าวให้ กทพ. ปฏิบัติตามสัญญาอีก โดยมีมูลค่าข้อพิพาททั้ง 2 ส่วน รวมดอกเบี้ยคํานวณถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2561 เป็นจํานวนเงินรวมประมาณ 137,517 ล้านบาท

โดยการยุติข้อพิพาททั้งหมดดังกล่าว กทพ. และบริษัท ตกลงที่จะมีการขยายระยะเวลาสัญญาสัมปทานทั้ง 3 สัญญา ออกไปสิ้นสุดในปี 2600 อัตราค่าผ่านทางจะมีการปรับเพิ่มขึ้นแบบคงที่ทุกระยะเวลา 10 ปี และให้บริษัทลงทุนปรับปรุงระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ซึ่งใช้เงินลงทุนก่อสร้างประมาณ 31,500 ล้านบาท ซึ่งการตกลงดังกล่าวถือเป็นการได้มาจำหน่ายไป ซึ่งสินทรัพย์ตามประกาศของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน

ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดกับบริษัทฯ

(1) สามารถทําให้ความเสี่ยงจากข้อพิพาทตามสัญญาหมดไป

ในการดําเนินงานของบริษัทฯ/บริษัทย่อยกับ กทพ. ตามสัญญาสัมปทาน มีการตีความในสัญญาที่แตกต่างกันในเรื่องต่าง ๆ เกิดข้อพิพาทอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาสัญญา ซึ่งกระบวนการระงับข้อพิพาทตามสัญญาโดยรวมตั้งแต่ชั้นคณะผู้พิจารณา ชั้นอนุญาโตตุลาการ และชั้นศาลปกครอง ใช้ระยะเวลานานมากกว่า 15 ปี และมีความไม่แน่นอนว่า บริษัท/บริษัทย่อยจะชนะคดี หรือหากชนะคดีก็อาจไม่ได้รับชําระหนี้ตามคําพิพากษาอันเนื่องจากคู่กรณีเป็นหน่วยงานรัฐที่ไม่อาจฟ้อง บังคับยึดทรัพย์หรือมีเหตุปัจจัยภายนอกที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้

การที่ กทพ. และบริษัทฯ/บริษัทย่อยสามารถตกลงยุติข้อพิพาทที่มีต่อกันตามสัญญาทั้งข้อพิพาท ที่มีในปัจจุบันและข้อพิพาทที่มีความเกี่ยวเนื่องกับข้อพิพาทที่มีการฟ้องร้องกันแล้ว เช่น ทางที่มีลักษณะแข่งขันและการปรับอัตราค่าผ่านทางจะทําให้เกิดประโยชน์แก่ทั้ง 2 ฝ่าย ในการปฏิบัติงานร่วมกันและพัฒนาระบบทางด่วนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่ง กทพ. บริษัทฯ/บริษัทย่อยตกลงทบทวนและแก้ไขสัญญาที่ทําให้เกิดปัญหาการตีความที่ต่างกัน เพื่อไม่ให้เกิดข้อพิพาทกันขึ้นอีก จึงเป็นการบริหารความเสี่ยงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ฝ่าย

ทั้งนี้ ข้อตกลงในการไกล่เกลี่ยยุติข้อพิพาทบนพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อรัฐ ประชาชน และเป็นธรรมต่อคู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย สรุปประเด็นสาระสําคัญที่ กทพ. และบริษัทฯ/บริษัทย่อยตกลงกัน ดังนี้

1.กทพ. และบริษัทฯ/บริษัทย่อย ตกลงยุติข้อพิพาทที่ได้มีคำตัดสินแล้ว หรืออยู่ระหว่างขั้นตอนการฟ้องร้องคดีต่อศาล การเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ และการเสนอข้อพิพาทต่อคณะผู้พิจารณาที่เกิดขึ้นแล้ว หรืออาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ในประเด็นเดียวกันหรือประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกันตามสัญญาเดิมทั้งหมด

2.กทพ. และบริษัทฯ/บริษัทย่อย ตกลงร่วมกันทบทวนและแก้ไขสัญญาสัมปทาน ดังนี้

2.1 ขยายระยะเวลาของสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 สัญญาเพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอินปากเกร็ด จากเดิมที่จะครบกําหนดสัญญาในปี 2563 ปี 2570 และปี 2569 ตามลําดับ ให้สัญญาสิ้นสุดวันที่ 21 เม.ย. 2600

2.2 บริษัทฯ เป็นผู้ดําเนินการให้บริการและบํารุงรักษาทางด่วนขั้นที่ 2 และบริษัทย่อยเป็นผู้ดําเนินการให้บริการและบํารุงรักษาทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด โดยบริษัทฯ/บริษัทย่อยได้รับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางตลอดระยะเวลาของสัญญา ดังนี้

• ส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางจากทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 ส่วนในเมือง ร้อยละ 40 และรายได้ค่าผ่านทางทั้งหมดจากทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนซี และทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วนดี

• ส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางทั้งหมดจากทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด

2.3 การปรับอัตราค่าผ่านทาง กทพ. บริษัทย่อยตกลงให้มีการปรับอัตราค่าผ่านทาง และบริษัทฯ เพิ่มขึ้นแบบคงที่ทุกระยะเวลา ปี สําหรับรถทุกประเภทตามอัตราที่มีการกําหนดไว้ 10 ชัดเจนในสัญญา

2.4 บริษัทฯ มีหน้าที่ลงทุนก่อสร้างและปรับปรุงทางด่วนขั้นที่ 2 ใช้เงินลงทุนประมาณ 31,500 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรที่ติดขัดภายหลังรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของ กทพ. ได้รับความเห็นชอบ ทั้งนี้ กทพ. จะนําผลการเจรจาเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบตามขั้นตอนพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากแนวทางที่เสนอข้างต้น

3. กทพ. และบริษัทฯ/บริษัทย่อย จะลงนามสัญญาแก้ไขสัญญาสัมปทานเดิม ภายหลังจากได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น และภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

(2) มีความยั่งยืนในการดําเนินธุรกิจ

ธุรกิจหลักของบริษัทฯ/บริษัทย่อย คือ การให้บริการทางพิเศษและระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯ/บริษัทย่อยในฐานะผู้รับสัมปทานจากภาครัฐ ถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญของการพัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่ง เพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทาง และช่วยบรรเทาปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยให้ความสําคัญกับความปลอดภัย ความรวดเร็ว และมีการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ

การที่บริษัท/บริษัทย่อย สามารถเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทกับ กทพ. ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2561 โดย กทพ. จะขยายระยะเวลาของสัญญาสัมปทานทั้ง 3 สัญญา ออกไปสิ้นสุดในปี 2600 จากเดิมที่สัญญาสัมปทานโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 สัญญา เพื่อการต่อขยายโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน ปากเกร็ด จะสิ้นสุดในปี 2563 ปี 2570 และปี 2569 ตามลําดับ จะทําให้บริษัทฯ/บริษัทย่อย มีความต่อเนื่องในการดําเนินธุรกิจให้บริการทางพิเศษ ไม่มีความเสี่ยงจากการไม่ได้ต่อระยะเวลา สัญญาและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์พันธกิจของบริษัทที่มุ่งมั่นในการเป็นผู้นําด้านการให้บริการ คมนาคมขนส่งที่ครบวงจรของประเทศ และการพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพของโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อบรรเทาปัญหาจราจร อีกทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ถือหุ้นบนพื้นฐานความ เป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

(3) ผลประกอบการที่ดีในอนาคต การที่บริษัทฯ/บริษัทย่อยได้รับการขยายระยะเวลาสัญญาสัมปทานออกไป ทําให้มีความต่อเนื่องในการดําเนินธุรกิจให้บริการทางพิเศษ โดยจะได้รับรายได้ค่าผ่านทางอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวจนถึงปี 2600 ซึ่งจะส่งผลให้มีผลประกอบการที่ดีในอนาคต

สำหรับแหล่งที่มาของเงินทุนที่จะใช้ในการก่อสร้างปรับปรุงระบบทางด่วนขั้นที่ 2 จะมาจากกระแสเงินสดภายในของบริษัทฯ และ/หรือการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องหรือการดําเนินงานของบริษัทฯ

สำหรับความเห็นของคณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการบริษัทที่พิจารณาแล้วเห็นควรยุติข้อพิพาททั้งหมดกับ กทพ. โดยการทบทวนและแก้ไขสัญญาสัมปทานตามหลักการที่ตกลงกับ กทพ. โดยมีเหตุผล ดังนี้

อัตราผลตอบแทนการลงทุนตามประมาณการทางการเงินตลอดระยะเวลาสัญญาที่ขยายออกไป มีมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดสุทธิ 31,463 ล้านบาท เห็นว่า มีความเหมาะสมการยุติข้อพิพาททั้งหมด โดยการแก้ไขสัญญาและบริษัทฯ มีการลงทุนปรับปรุงระบบทางด่วนขั้นที่ 2 สามารถบรรเทาความสูญเสียและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อรัฐ และที่สําคัญที่สุด คือ ทําให้การให้บริการทางด่วนแก่สาธารณชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทําให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อรัฐ ประชาชน และประเทศชาติโดยรวม

โปรโมทแทรกอีบุ๊ก