'เอสซีจี' กำไรร่วง! ธุรกิจเคมิคอลส์ ไตรมาส 4 ปี 61 กระทบ

30 ม.ค. 2562 | 09:05 น.
'เอสซีจี' เผยผลประกอบการปี 2561 กำไรลดลงจากธุรกิจเคมิคอลส์ ขณะที่ ธุรกิจแพคเกจจิ้งเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้าน ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีแนวโน้มดีขึ้น พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 18.00 บาท อัดงบลงทุนปีนี้ 60,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2561 มีรายได้จากการขาย 478,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับปี 44,748 ล้านบาท แต่ลดลง 19% จากปีก่อน จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งสถานการณ์สงครามการค้า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวน และเงินบาทแข็งค่า จึงส่งผลต่อภาพรวมผลประกอบการของเอสซีจี

โดยปี 2561 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) 184,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อน คิดเป็น 39% ของยอดขายรวม โดยใช้งบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 4,674 ล้านบาท คิดเป็น 1% ของยอดขายรวม

สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2561 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 117,223 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง แต่เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของตลาดในประเทศของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยมีกำไรสำหรับงวด 10,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน จากเงินปันผลรับจากเงินลงทุนของธุรกิจเคมิคอลส์และการลงทุนในธุรกิจอื่น แต่ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ลดลง ทั้งนี้ เอสซีจีมีรายได้จากการส่งออก 130,895 ล้านบาท คิดเป็น 27% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ผลการดำเนินงานของเอสซีจี นอกเหนือจากประเทศไทยในปี 2561 เอสซีจีมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียน 118,014 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของรายได้จากการขายรวม เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน และมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่น ๆ 86,155 ล้านบาท คิดเป็น 18% รายได้จากการขายรวม

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2561 แยกตามรายธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจเคมิคอลส์ ในปี 2561 มีรายได้จากการขาย 221,538 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน จากปริมาณการขายและราคาขายของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับปี 29,166 ล้านบาท ลดลง 29% จากปีก่อน จากวัฏจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง รวมถึงการปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมลดลง

ขณะที่ ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขาย 53,905 ล้านบาท ลดลง 7% จากไตรมาสก่อน จากราคาขายของผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง แต่เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 5,415 ล้านบาท ลดลง 28% จากไตรมาสก่อน และลดลง 43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมลดลง และมีการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2561 มีรายได้จากการขาย 182,952 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน ตามการขยายตัวของความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมถึงการฟื้นตัวของโครงการอสังหาริมทรัพย์และการขยายตัวของการก่อสร้างในภูมิภาค โดยมีกำไรสำหรับปี 5,984 ล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีในไตรมาสที่ 3 ปี 2561 ทั้งนี้ เมื่อไม่รวมการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชี กำไรสำหรับปีจะเท่ากับ 7,304 ล้านบาท


SCG100

อย่างไรก็ตาม ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 45,728 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการขยายตัวของการก่อสร้างในประเทศไทยและในภูมิภาค โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 488% จากไตรมาสก่อน ผลจากการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีในไตรมาสที่ 3 ปี 2561 และเพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นในไทยและภูมิภาคอาเซียน

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในปี 2561 มีรายได้จากการขาย 87,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับปี 6,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อน จากโครงการลดต้นทุนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เติบโตต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ

ขณะที่ ไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 21,283 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน และลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณการขายที่ลดลง ทั้งในธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจเยื่อและกระดาษ โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,492 ล้านบาท ลดลง 13% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 18.00 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 21,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 8.50 บาท เป็นเงิน 10,200 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2561 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 9.50 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 11,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันพฤหัสบดีที่ 4 เม.ย. 2562 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือ วันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันพุธที่ 3 เม.ย. 62) โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 19 เม.ย. 2562 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี

สำหรับแนวโน้มการทำธุรกิจในปี 2562 ซีอีโอเอสซีจี มองว่า มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ทั้งปัจจัยภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์ เนื่องจากแนวโน้มความต้องการใช้ปูนซีเมนต์สูงขึ้นจากการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มมากขึ้นในปีนี้และโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ประเมินว่า จะโตเพิ่มขึ้น 3-5% รวมถึงภูมิภาคอาเซียน ที่ขณะนี้ทุกประเทศมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้วย ทั้งประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว

"ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในแต่ละประเทศจึงมีศักยภาพเติบโตไปได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะกัมพูชา ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเติบโตกว่า 10%" ขณะที่ การลงทุนปี 2562 จะลงทุนรวมประมาณ 60,000  ล้านบาท จากที่ปี 2561 ลงทุนรวม 46,000 ล้านบาท โดยลงทุนปีนี้จะอยู่ในไทย 3 หมื่นล้านบาท เช่น การขยายงานในธุรกิจปิโตรเมีและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และอื่น ๆ ในธุรกิจสตาร์อัพในไทย จีน อินโดนีเซีย และดิจิทัลที่สหรัฐฯ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจในเครือ เช่น แพ็คเกจจิ้ง อี-คอมเมิร์ซ วิจัยและพัฒนา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า และยังมีแผนบุกตลาดใหม่ ๆ โดยจะลงทุนในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น

ส่วนแหล่งเงินที่ใช้จะมีการออกหุ้นกู้ 15,000 ล้านบาท ทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนด ส่วนการลงทุนนอกประเทศจะใช้เงินลงทุน 3 หมื่นล้านบาท ในประเทศเวียดนาม จากวงเงินลงทุนโครงการปิโตรเคมี วงเงินประมาณ 180,000 ล้านบาท ทยอยลงทุนในช่วง 4 ปีจากนี้ไป อีกส่วนลงทุนด้านธุรกิจแพคเกจจิ้งที่ประเทศฟิลิปปินส์ ประมาณเกือบ 5,000 ล้าบาท โดยจะลงทุนในช่วง 2-3 ปีจากนี้ไป โดยแหล่งเงินจากการลงทุนด้านปิโตรเคมีได้จัดหาแหล่งเงินเอาไว้แล้วในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ส่วนเงินเพื่อลงทุนโครงการอื่น ๆ เป็นเงินจากแหล่งเงินกู้บวกกระแสเงินสด โดยสรุปแล้ว แหล่งเงินลงทุนในภาพรวม บริษัทจะพยายามบริหารจัดการให้มีเสถียภาพทางการเงิน โดยอัตราส่วนค่าเฉลี่ยเงินกู้ต่อเงินบริษัทจะรักษาสัดส่วนไว้ที่ 2.5 เท่า ซึ่งมั่นใจว่าจะบริหารจัดการให้มีเสถียรภาพได้

สำหรับสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2561 มีมูลค่า 589,787 ล้านบาท โดย 28% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

595959859