จับตาการถ่ายโอนอำนาจสู่ผู้นำคนใหม่ของเมียนมา สานต่อนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ

10 มี.ค. 2559 | 07:27 น.
 

ประเด็นสำคัญ

•เมียนมาจะเริ่มกระบวนการเลือกประธานาธิบดีคนใหม่ในวันที่ 10 มีนาคมนี้ ก่อนที่ประธานาธิบดีเต็ง เส่งจะพ้นวาระในช่วงปลายเดือน โดยจะมีผู้ชิงตำแหน่งทั้งสิ้น 3 คนจากการเสนอชื่อของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และกองทัพ ทุกฝ่ายจึงต่างจับตามองว่าใครจะก้าวเข้ามาเป็นผู้นำประเทศเมียนมาคนต่อไป และรอคอยนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่อย่างใกล้ชิดเพื่อวางแผนทางธุรกิจในระยะข้างหน้า

•แนวทางการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรค NLD ของนาง ออง ซาน ซูจีนั้นจะเน้นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคการประกอบธุรกิจในประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเป็นหลัก ทั้งการเสริมสร้างความมีประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ การสนับสนุนให้มีการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อให้เกิดการถ่ายโอนองค์ความรู้ การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ

•การเปลี่ยนแปลงเมียนมาไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่อาจจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา และต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้คงต้องเผชิญกับโจทย์ทางเศรษฐกิจรอบด้านทั้งปัญหาอัตราเงินเฟ้อ ค่าเงินจ๊าตที่อ่อนค่า การขาดดุลการค้าและการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น สำหรับปี 2559 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าเศรษฐกิจเมียนมาน่าจะเติบโตได้ร้อยละ 7.8 เร่งขึ้นจากร้อยละ 7.7 ในปี 2558

ผลจากการเลือกตั้งทั่วไปของเมียนมาเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2558 ที่ผ่านมา พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) ของนางออง ซาน ซูจี ได้ครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ซึ่งเป็นสัญญาณชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการทางการเมืองของเมียนมาในทางที่ดีขึ้น จากการปฏิบัติตามกฏกติกาของระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น อันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกฝ่ายต่อเสถียรภาพทางด้านนโยบายของประเทศในอนาคต โดยสภาผู้แทนราษฎรมีที่นั่งทั้งหมด 440 ที่นั่ง เป็นสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง 330 ที่นั่ง และพรรค NLD ได้ไปทั้งหมด 255 ที่นั่ง ส่วนในวุฒิสภามีที่นั่งทั้งหมด 224 ที่นั่ง เป็นสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง 168 ที่นั่งและพรรค NLD ได้ไป 135 ที่นั่ง ส่งผลให้ในรัฐสภาเมียนมา พรรค NLD จึงครองที่นั่งทั้งหมด 390 จาก 664 ที่นั่ง หรือประมาณร้อยละ 80 (ไม่รวมที่สมาชิกส่วนที่เป็นตัวแทนจากกองทัพ) และสามารถจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศได้ ทั้งนี้ เมียนมาจะเริ่มกระบวนการเลือกประธานาธิบดีคนใหม่ในวันที่ 10 มีนาคมนี้ ก่อนที่ประธานาธิบดีเต็ง เส่งจะพ้นวาระในช่วงปลายเดือน โดยจะมีผู้ชิงตำแหน่งทั้งสิ้น 3 คนจากการเสนอชื่อของ สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และกองทัพจึงเป็นที่จับตามองว่าใครจะก้าวเข้ามาเป็นผู้นำประเทศเมียนมาคนถัดไป

ความชัดเจนของนโยบายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตและวางแผนทางธุรกิจได้ ซึ่งหากภาวะการเมืองของเมียนมาเริ่มเข้าสู่ความมีเสถียรภาพแล้วย่อมจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาในเมียนมามากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ พรรค NLD ได้มีแกนหลักของนโยบายด้านเศรษฐกิจอยู่ 5 หลัก ได้แก่

การดำเนินนโยบายการคลังอย่างรอบคอบ มีการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส และปฏิรูประบบการเก็บภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐบาล ในขณะที่การใช้จ่ายของภาครัฐต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวมเป็นหลัก

การปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดิน จัดตั้งหน่วยงานที่สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย และการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เสริมสร้างความมีประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐ ลดการทุจริตคอร์รัปชั่น และทำให้การปฏิบัติราชการเป็นไปด้วยความโปร่งใส นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการจัดสรรงบประมาณภาครัฐ และติดตามตรวจสอบ รวมถึงประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐบาล

การพัฒนาภาคเกษตรกรรม เพิ่มศักยภาพผลผลิตสินค้าเกษตร และสนับสนุนให้มีการลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจการเกษตรที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การแปรรูปสินค้าเกษตร เนื่องจากในปัจจุบัน พื้นที่ทางการเกษตรของเมียนมาหลายแห่งยังไม่มีการนำมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีกำลังการผลิตต่ำ นอกจากนี้ เกษตรกรยังมีการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก

การปฏิรูประบบการเงิน โดยการปฏิรูปธนาคารพาณิชย์ และส่งเสริมให้ธนาคารกลางเมียนมามีความอิสระในการดำเนินนโยบายทางการเงิน รวมทั้งแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินทุน หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของนักธุรกิจ ประชาชนทั่วไป และเกษตรกร

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว  โดยเมียนมาอาจขอความช่วยเหลือหรือขอเงินกู้จากองค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชนทั้งท้องถิ่นและต่างชาติ การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจในประเทศ โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แนวทางการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรค NLD นั้นจะเน้นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคการประกอบธุรกิจในประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเป็นหลัก ทั้งการเสริมสร้างความมีประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ การสนับสนุนให้มีการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อให้เกิดการถ่ายโอนองค์ความรู้ การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ

รัฐบาลภายใต้การนำของนายพลเต็ง เส่งได้จัดทำงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2559/60 และได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาของเมียนมาแล้วในเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งโครงสร้างของงบประมาณนี้ก็สอดรับกับแนวนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเริ่มดำเนินงานในวันที่ 1 เม.ย. 2559 ในการเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการลงทุนในประเทศ เช่น การเพิ่มรายจ่ายด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานในประเทศ การพัฒนาระบบการเงิน และการสร้างมั่นคงทางด้านพลังงาน เป็นต้น โดยงบรายจ่ายในปี 2559/60 นั้นคิดเป็นมูลค่า 23.62 ล้านล้านจ๊าต หรือเกือบ 7 แสนล้านบาท โดยมีตัวเลขขาดดุลอยู่ที่ 3.9 ล้านล้านจ๊าต เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 จากการขาดดุลของปีงบประมาณที่ผ่านมา โดยรัฐบาลได้เพิ่มรายจ่ายในหลายสาขาที่สำคัญ อาทิ การขนส่ง พลังงาน อุตสาหกรรม การเงิน และการศึกษา

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า รัฐบาลชุดใหม่นี้ยังต้องมีการดำเนินการในด้านต่างๆในระยะถัดไปอีกมาก เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งเมื่อพิจารณาตัวเลข FDI ที่เข้ามาในเมียนมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน ภายหลังเมียนมาได้ออกกฎหมายการลงทุนจากต่างประเทศฉบับใหม่ปี 2555 (2012) จะพบว่า การลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในเมียนมายังคงเน้นหนักไปที่อุตสาหกรรมทางด้านพลังงานเป็นหลัก ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะแม้ว่าค่าแรงในเมียนมาจะนับว่าถูกที่สุดในอาเซียน แต่ต้นทุนในด้านอื่นๆ ที่เป็นต้นทุนแฝงของภาคธุรกิจยังถือว่าสูงอยู่ ทั้งการเช่าอาคารสำนักงาน ต้นทุนการพัฒนาบุคลากร ภาวะขาดแคลนแรงงานฝีมือ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี สัดส่วนมูลค่า FDI ที่ได้รับการอนุมัติในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.8 ในเดือนมิ.ย. 2557 เป็นร้อยละ 10.7 ในเดือนม.ค. 2559 ก็ยังแสดงถึงความสนใจลงทุนในเมียนมาที่มากขึ้นของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงเมียนมาไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่อาจจำเป็นต้องอาศัยเวลา และต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้คงต้องเผชิญกับโจทย์ทางเศรษฐกิจรอบด้านทั้งปัญหาอัตราเงินเฟ้อ ค่าเงินจ๊าตที่อ่อนค่า การขาดดุลการค้าและการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น สำหรับปีงบประมาณ 2559/2560  ทางการเมียนมาคาดว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมียนมาน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 7.8 ขณะที่ IMF คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 8.4 ในปี 2559 ส่วนศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าเศรษฐกิจเมียนมาน่าจะเติบโตได้ร้อยละ 7.8 ในปี 2559 เร่งขึ้นจากร้อยละ 7.7 ในปี 2558

สำหรับนักธุรกิจไทยที่สนใจจะเข้าไปลงทุนในเมียนมาคงจะต้องพิจารณาอุปสรรคที่อาจต้องเผชิญในการประกอบธุรกิจ อาทิ ค่าเช่าอาคารสำนักงานที่อาจเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนและพัฒนาแรงงาน และการขาดแคลนแรงงานระดับบน เป็นต้น  อย่างไรก็ดี โอกาสทางธุรกิจในเมียนมายังนับว่ามีอีกมากโดยเฉพาะในระยะข้างหน้า ดังนั้น การเข้าไปสร้างความสัมพันธ์กับธุรกิจท้องถิ่นแต่เนิ่นๆ และเตรียมความพร้อมในการทำธุรกิจข้ามประเทศ เช่น การฝึกทักษะด้านภาษา และการศึกษากฏหมายในการทำการค้าระหว่างประเทศ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในเมียนมาได้

ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย