ทัวร์ไทยโดนกินรวบ

13 มี.ค. 2559 | 00:00 น.
เรื่องคนจีน "กินรวม" ธุรกิจทัวร์ในไทยที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเรื่องหนึ่งที่ถกเถียงกันกัน ความจริงแล้วเรื่องนี้เคยถกกันมานานแล้ว ตั้งแต่ทัวร์เกาหลีรุกเข้ามาสวมรอยทำธุรกิจทัวร์ในไทยครบวงจรที่จังหวัดภูเก็ต เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาครับที่ธุรกิจทัวร์ในไทยต้องแข่งขันกับเขาให้ได้ ในเมื่อเขาทำทุกอย่างตามกฎหมายของไทย ตั้งแต่การตั้งบริษัททำธุรกิจการท่องเที่ยว การจ้างคน การชำระภาษี รวมถึงเรื่องไกด์ด้วย และผมจะไม่ว่าอะไรหากนักลงทุนจีนจะเข้ามาลงทุนทำสายการบินแบบโลว์คอสต์แอร์ไลน์แข่งในไทยหากกฎหมายไทยและกลุ่มอาเซียนเปิดช่องให้ทำได้

อย่าลืมนะครับเราเปิดเสรี ก็ต้อง "เสรี" กันให้เต็มที่ คำว่า "เสรี" นั่นหมายถึงความสามารถของใครก็ได้ภายใต้กฎหมายไทยและกฎหลักของอาเซียนที่สามารถทำได้ ก็ต้องให้เขาทำ เราไปกีดกันเขาไม่ได้ เราจะไม่ไปมองว่าเขามาลงทุนแล้วมากอบโกยเงินเข้ากระเป๋า ก็เป็นเรื่อง "ความสามารถ" ของเขาที่เขาทำได้ เราเองต่างหากที่ต้องมาพิจารณาดูว่าทำไมเราถึงแข่งกับเขาไม่ได้ ขณะเดียวกันก็อาจจะมีคำถามขึ้นมาก็ได้ว่า แล้วทำไมเราไม่ไปร่วมทุนกับเขาเปิดธุรกิจในลักษณะเดียวกันในประเทศของเขาหล่ะครับ ยิ่งขณะนี้คนไทยนิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ น่าจะไปทำเหมือนกันที่เขามาทำในไทย หรือว่า ความสามารถของคนไทยเรามีแค่นี้ แค่โวยวาย แค่ร้องขอให้รัฐช่วยปกป้องธุรกิจ ร้องขอให้รัฐเข้ามาอุ้ม มาดูแล ทำตัวเหมือนเด็กอ่อนอย่างนี้ ผมว่าเราต้องโตเป็นผู้ใหญ่เสียที เพราะแบบเดิมๆ จะหมดสมัยแล้ว

ผมเองบอกตามตรงไม่เคยขึ้นรถนำเที่ยวในไทย เลยไม่รู้ว่าเราจัดการทัวร์ของเรากันอย่างไร เพราะจะไปไหนก็มักจะขับรถไปเอง หรือบางครั้งก็เป็นไกด์จำเป็นพาญาติพี่น้องที่มาจากแดนไกล พาเขาไปเที่ยว ไปพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ พาชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย แต่ก็ไม่ถูกใครถามว่า ผมเป็นไกด์หรือเปล่า ความจริงถ้าเขาถามผม ผมก็ต้องตอบไปตามตรงว่า เป็นคนพาญาติพี่น้องมาเที่ยวเองครับ ไม่ได้ทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวแต่อย่างใด

ผมไปท่องเที่ยวต่างประเทศหลายแห่งทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา หลายต่อหลายประเทศ ส่วนใหญ่จะมีไกด์คนไทยมาดูแลคณะของเรา ถ้าไป 10 คนก็อย่างน้อยมีไกด์ 2 คนคอยดูแล ถ้าคณะใหญ่กว่านี้หน่อยก็อาจจะมีไกด์นำเที่ยวในต่างประเทศ 3 คน คือ มีไกด์ตามประกบตั้งแต่เดินทางจากประเทศไทย แล้วก็มีไกด์คนไทยมารอรับที่สนามบิน และเวลาไปทุกครั้งเมื่อถึงประเทศนั้นๆ ก็จะมีไกด์ในท้องถิ่นมาประกอบด้วย ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ต่างประเทศเข้ามาเที่ยวเมืองไทยแบบกรุ๊ปทัวร์นั่นหล่ะครับ คือ มี "ซิตติ้ง ไกด์" คือมีไกด์ท้องถิ่นมาประจำด้วยเสมอ แต่บางครั้งผมก็ไปต่างประเทศโดยไม่มีไกด์เพราะไปเที่ยวเป็นการส่วนตัว จะไปไหนก็ไปเอง เรื่องแบบนี้ก็ธรรมดาที่ทั่วโลกเขาก็ปฏิบัติกัน

ถ้าคนไทยพูดภาษาอังกฤษได้กันทุกคน หรือพูดภาษาชาติอื่นได้ตามที่นักท่องเที่ยวเขาเข้ามา ปัญหาอย่างที่เกิดขึ้นคงไม่มากมาย แต่ภาษาเขาเราก็พูดไม่ได้ เป็นต้นว่าเราพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ พูดภาษาจีนกลางไม่ได้ พูดภาษาเกาหลีไม่ได้ พูดภาษารัสเซียไม่ได้ หรือมีคนพูดได้แต่นักท่องเที่ยวประเทศต่างๆ มาเยอะจนไม่มีไกด์พอเพียงจะรองรับ แต่เราพูดภาษาอังกฤษได้ บรรยายได้ ตอบคำถามได้ พาเที่ยวได้ มีบัตรหรือใบอนุญาตนำเที่ยว แต่กรุ๊ปทัวร์น้อยคนจะรู้ภาษาอังกฤษ อย่างนี้ปัญหาในการบริการย่อมจะมีครับ เขาก็ต้องมีไกด์เถื่อนมาประกบ หรือ "แอบ" ไม่ใช้ไกด์ไทยเลย มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งครับ จีนส่วนใหญ่ใช้ภาษาจีนกลาง คนไทยก็ต้องมีไกด์ที่ชำนาญภาษาจีนกลางเป็นสำคัญ

เดี๋ยวนี้การท่องเที่ยวเติบโตเอามากๆ สมัย พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ตั้งเป้านักท่องเที่ยวเข้าไทย 15 ล้านคน แต่ 30 ปีให้หลัง มีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยเมื่อปี 2559 เฉลี่ยเดือนละ 3 ล้านคน หรือประมาณ 36 ล้านคน และปีหน้าหรือปี 2560 คงมีเพิ่มเป็น 40-43 ล้านคน รายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 3 ล้านล้านบาทเลยทีเดียวครับ ลำพังปีนี้ปีหน้านี้นักท่องเที่ยวจีนอย่างเดียวมาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนเลยทีเดียว ....เรารู้ปัญหาของเราแล้ว ก็แก้จุดอ่อนเสียเถิดครับ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,138 วันที่ 10 - 12 มีนาคม พ.ศ. 2559