2 ปี กับภารกิจพลิก ‘บิ๊กซี’ ‘ห้างคนไทย หัวใจคือลูกค้า’
หลังจากกลุ่มเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือบีเจซี ทุ่มเงิน 2.2 แสนล้านบาท เข้าซื้อหุ้นบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ Big C จากกลุ่มคาสิโนและนักลงทุนทั่วไป ในปี 2559 ภารกิจการเข้าบริหาร “บิ๊กซี” จึงตกอยู่กับ “อัศวิน เตชะเจริญวิกุล”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 2 ปี ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนพร้อมกับแผนการเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้การบริหารจัดการของ CEO คนนี้
ชู Big Data เข้าถึงลูกค้า
“อัศวิน” บอกว่า 2 ปีที่เข้ามาดูแลบิ๊กซี สิ่งที่เขามุ่งมั่นตามหลักคิดที่ถูกปลูกฝังมาคือ การนำวิทยาศาสตร์ การใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ การวัดผลตอบแทน มาใช้เพื่อให้คู่ค้าบิ๊กซีได้ประโยชน์ แต่เบื้องต้นภารกิจแรกเริ่มที่ต้องทำคือเรื่องพื้นฐานของบิ๊กซีที่ต้องมี ไม่ว่าจะเป็น ความสะอาด การอบรมพนักงานเพื่อการบริการที่ดี และสิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือ การนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมเป็นฐานข้อมูล หรือ Big Data มาตลอด 2 ปี จากสมาชิกบัตร บิ๊ก การ์ด จำนวน 12 ล้านรายในปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็น 17 ล้านคนในปี 2562 มีการทำธุรกรรมซื้อ ขายสินค้าและบริการ 4-5แสนรายการต่อวัน
[caption id="attachment_361133" align="aligncenter" width="335"]
อัศวิน เตชะเจริญวิกุล[/caption]
วันนี้บิ๊กซี เลือกที่จะนำ Big Data เหล่านั้นมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ เพื่อผลักดันให้บิ๊กซีมีการเติบโต และก้าวเดินได้ด้วยตนเองในระยะยาว ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของอุตสาหกรรมค้าปลีก จากข้อมูลต่างๆ ที่บิ๊กซีมี ถือเป็นแนวกว้าง การหาพันธมิตรทางกลยุทธ์ที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในแนวลึก จะช่วยให้บิ๊กซี สามารถตอบโจทย์ให้กับคู่ค้าและลูกค้า ควบคู่กันไป
เปิดแพลตฟอร์มอัจฉริยะ
“อัศวิน” บอกว่า การตัดสินใจเลือก “นีลเส็น คอมปะนี” เป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์ และเป็นครั้งแรกของโลกที่ “นีลเส็น” นำนวัตกรรมระบบคลาวด์ แพลต ฟอร์มอัจฉริยะระดับโลกที่ชื่อ Nielsen Connect ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยโกลบัล มาใช้รวบรวมข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อค้นหาเทรนด์ใหม่ๆตรวจสอบประสิทธิ ภาพของผลประกอบการ และตอบสนองได้เร็วขึ้นต่อโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ ที่ประเทศไทย โดยร่วมกับบิ๊กซี จัดตั้งบริษัทภายใต้ชื่อ บริษัท ซี สมาร์ท โซลูชั่น จำกัด (C Smart Solution)
โดยซี สมาร์ท โซลูชั่น จะนำเทคโนโลยีด้าน Data Analytic มาใช้วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าบิ๊กซี ทุกเพศ ทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ ซึ่งบิ๊กซีมุ่งมั่นอย่างจริงจัง ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าในเชิงลึก เพื่อจัดเก็บทุกพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อให้เห็นพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา แต่ละสถานที่ ที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร ทำให้บิ๊กซีรู้จักและเข้าใจลูกค้า ทำแคมเปญร่วมกับคู่ค้า ทำโปรโมชันให้กับลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล การตั้งราคาสินค้า และนำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า
นำ ‘บิ๊กซี’ สู่เอเชีย-แปซิฟิก
“อัศวิน” บอกว่าในปี 2561-2562 บิ๊กซีจะใช้งบลงทุนในการจัดวางระบบ Data Analytic ต่อเนื่องกว่า 100 ล้านบาท ในการวิเคราะห์ และนำข้อมูลมาใช้เพื่อทำให้สินค้าอยู่ในอีโค่ ซิสเต็มของบิ๊กซี ซึ่งปัจจุบันมีสาขาขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) 149 แห่งทั่วประเทศ และในปีหน้ายังมีแผนขยายสาขาไปยังกัมพูชา รวมทั้งการปรับเปลี่ยนค้าปลีกในเวียดนามให้มาเป็น “Big C” และการขยายสาขาบิ๊กซีในสปป.ลาวและมาเลเซีย
“ถือเป็นครั้งแรกที่บิ๊กซียกระดับการนำข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ผ่านพันธมิตรทางกลยุทธ์ เผื่อผลักดันยอดขายและธุรกิจให้เติบโตในอาเซียน ก่อนจะก้าวสู่เอเชียแปซิฟิกในอนาคต”
วันนี้ “คู่ค้า” หรือซัพพลายเออร์ ที่เข้าร่วมใช้ Data Analytic ผ่าน C Smart Solution ส่วนใหญ่ยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่ ซึ่งมีอยู่ 40-50 ราย และอนาคตจะสนับสนุนให้เพิ่มมากขึ้นจากคู่ค้าที่มีอยู่นับพันราย รวมทั้งการเพิ่มสมาชิกบัตรบิ๊กการ์ดให้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านรายในปี 2562
“อัศวิน” กล่าวทิ้งท้ายว่า ก้าวย่างต่อไปของบิ๊กซี คือ เรื่องของอี-คอมเมิร์ซซึ่งเริ่มออกสตาร์ตแล้วแต่ยังต้องพัฒนาและเติมอีกหลายสิ่ง รวมทั้งใส่เงินลงไป ซึ่งวันนี้สัดส่วนยอดขายผ่านออนไลน์มีไม่ถึง 10%
การนำพาให้ “บิ๊กซี” ก้าวขึ้นเป็น “ห้างคนไทย หัวใจคือลูกค้า” ใน 2 ปีที่ผ่านมาคือเป็นช่วงของการออกสตาร์ต ยังต้องจับตามองถึงการยืนระยะ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เช่นเดียวกับการนำพา “บิ๊กซี” ให้ผงาดในอาเซียน ยังเป็นอีกความท้าทายที่ต้องจับตามอง...
สัมภาษณ์ : โต๊ะข่าวการตลาด
หน้า 34 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,427 วันที่ 16-19 ธันวาคม 2561
ชู Big Data เข้าถึงลูกค้า
“อัศวิน” บอกว่า 2 ปีที่เข้ามาดูแลบิ๊กซี สิ่งที่เขามุ่งมั่นตามหลักคิดที่ถูกปลูกฝังมาคือ การนำวิทยาศาสตร์ การใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ การวัดผลตอบแทน มาใช้เพื่อให้คู่ค้าบิ๊กซีได้ประโยชน์ แต่เบื้องต้นภารกิจแรกเริ่มที่ต้องทำคือเรื่องพื้นฐานของบิ๊กซีที่ต้องมี ไม่ว่าจะเป็น ความสะอาด การอบรมพนักงานเพื่อการบริการที่ดี และสิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือ การนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมเป็นฐานข้อมูล หรือ Big Data มาตลอด 2 ปี จากสมาชิกบัตร บิ๊ก การ์ด จำนวน 12 ล้านรายในปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็น 17 ล้านคนในปี 2562 มีการทำธุรกรรมซื้อ ขายสินค้าและบริการ 4-5แสนรายการต่อวัน
[caption id="attachment_361133" align="aligncenter" width="335"]
วันนี้บิ๊กซี เลือกที่จะนำ Big Data เหล่านั้นมาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ เพื่อผลักดันให้บิ๊กซีมีการเติบโต และก้าวเดินได้ด้วยตนเองในระยะยาว ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของอุตสาหกรรมค้าปลีก จากข้อมูลต่างๆ ที่บิ๊กซีมี ถือเป็นแนวกว้าง การหาพันธมิตรทางกลยุทธ์ที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในแนวลึก จะช่วยให้บิ๊กซี สามารถตอบโจทย์ให้กับคู่ค้าและลูกค้า ควบคู่กันไป
เปิดแพลตฟอร์มอัจฉริยะ
“อัศวิน” บอกว่า การตัดสินใจเลือก “นีลเส็น คอมปะนี” เป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์ และเป็นครั้งแรกของโลกที่ “นีลเส็น” นำนวัตกรรมระบบคลาวด์ แพลต ฟอร์มอัจฉริยะระดับโลกที่ชื่อ Nielsen Connect ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยโกลบัล มาใช้รวบรวมข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อค้นหาเทรนด์ใหม่ๆตรวจสอบประสิทธิ ภาพของผลประกอบการ และตอบสนองได้เร็วขึ้นต่อโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ ที่ประเทศไทย โดยร่วมกับบิ๊กซี จัดตั้งบริษัทภายใต้ชื่อ บริษัท ซี สมาร์ท โซลูชั่น จำกัด (C Smart Solution)
โดยซี สมาร์ท โซลูชั่น จะนำเทคโนโลยีด้าน Data Analytic มาใช้วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าบิ๊กซี ทุกเพศ ทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ ซึ่งบิ๊กซีมุ่งมั่นอย่างจริงจัง ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าในเชิงลึก เพื่อจัดเก็บทุกพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อให้เห็นพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา แต่ละสถานที่ ที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร ทำให้บิ๊กซีรู้จักและเข้าใจลูกค้า ทำแคมเปญร่วมกับคู่ค้า ทำโปรโมชันให้กับลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล การตั้งราคาสินค้า และนำเสนอประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า
นำ ‘บิ๊กซี’ สู่เอเชีย-แปซิฟิก
“อัศวิน” บอกว่าในปี 2561-2562 บิ๊กซีจะใช้งบลงทุนในการจัดวางระบบ Data Analytic ต่อเนื่องกว่า 100 ล้านบาท ในการวิเคราะห์ และนำข้อมูลมาใช้เพื่อทำให้สินค้าอยู่ในอีโค่ ซิสเต็มของบิ๊กซี ซึ่งปัจจุบันมีสาขาขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต) 149 แห่งทั่วประเทศ และในปีหน้ายังมีแผนขยายสาขาไปยังกัมพูชา รวมทั้งการปรับเปลี่ยนค้าปลีกในเวียดนามให้มาเป็น “Big C” และการขยายสาขาบิ๊กซีในสปป.ลาวและมาเลเซีย
“ถือเป็นครั้งแรกที่บิ๊กซียกระดับการนำข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ผ่านพันธมิตรทางกลยุทธ์ เผื่อผลักดันยอดขายและธุรกิจให้เติบโตในอาเซียน ก่อนจะก้าวสู่เอเชียแปซิฟิกในอนาคต”
วันนี้ “คู่ค้า” หรือซัพพลายเออร์ ที่เข้าร่วมใช้ Data Analytic ผ่าน C Smart Solution ส่วนใหญ่ยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่ ซึ่งมีอยู่ 40-50 ราย และอนาคตจะสนับสนุนให้เพิ่มมากขึ้นจากคู่ค้าที่มีอยู่นับพันราย รวมทั้งการเพิ่มสมาชิกบัตรบิ๊กการ์ดให้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านรายในปี 2562
“อัศวิน” กล่าวทิ้งท้ายว่า ก้าวย่างต่อไปของบิ๊กซี คือ เรื่องของอี-คอมเมิร์ซซึ่งเริ่มออกสตาร์ตแล้วแต่ยังต้องพัฒนาและเติมอีกหลายสิ่ง รวมทั้งใส่เงินลงไป ซึ่งวันนี้สัดส่วนยอดขายผ่านออนไลน์มีไม่ถึง 10%
การนำพาให้ “บิ๊กซี” ก้าวขึ้นเป็น “ห้างคนไทย หัวใจคือลูกค้า” ใน 2 ปีที่ผ่านมาคือเป็นช่วงของการออกสตาร์ต ยังต้องจับตามองถึงการยืนระยะ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เช่นเดียวกับการนำพา “บิ๊กซี” ให้ผงาดในอาเซียน ยังเป็นอีกความท้าทายที่ต้องจับตามอง...
สัมภาษณ์ : โต๊ะข่าวการตลาด
หน้า 34 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,427 วันที่ 16-19 ธันวาคม 2561
