ดีเดย์ 17 ธ.ค.ฟรีค่าธรรมเนียม ซื้อ SCB SET Index ออนไลน์

14 ธ.ค. 2561 | 05:00 น.
หลังจากที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ไทยพาณิชย์ จำกัด พัฒนารูปแบบการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาดิจิตอลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำธุรกรรมในยุคดิจิตอล โดยวางแผนในการจัดสรรกองทุนชนิด Electronic หรือ e-class สำหรับกองทุนประเภท Passive ที่เน้นลงทุนให้ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง โดยกำหนดมูลค่าขั้นตํ่าไว้เพียง 1 บาท และสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท และจะได้รับสิทธิพิเศษคือ ไม่เก็บค่าธรรมเนียมการสั่งซื้อ (Front End Fee) และค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ถือเป็นรายแรกของไทย เพื่อให้ผู้ลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้นและสร้างความสนใจในการลงทุน

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ฯ เปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า บริษัทจะเปิดให้ลงทุน e-class ในกองทุนเปิดไทยพาณิชย์เซ็ทอินเด็กซ์(SCB SET Index) ได้ในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ พร้อมปรับเงินซื้อขั้นตํ่าลงจากเดิม 1,000 บาท เหลือ 500 บาทเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้าที่มีเงินทุนน้อยสามารถลงทุนได้ ซึ่ง SCB SET Index เป็นกองทุนดัชนีเพียงกองทุนเดียวที่ลงทุนใน SET Index สะท้อนภาวะตลาดที่ลงทุนในหุ้นไทย 400 ตัว ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี 2542 ปัจจุบันมีมูลค่าพอร์ตที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ฐานลูกค้าน้อยกว่า 5 หมื่นรายแต่ตั้งเป้าอีก 3 ปี จะมีฐานลูกค้าเป็น 1.5 ล้านราย

[caption id="attachment_359573" align="aligncenter" width="381"] ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย[/caption]

ทั้งนี้ SCB SET Index เป็นกองทุนที่นักลงทุนสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย เหมาะกับการกระจายการลงทุนและถือครองระยะยาว โดยผลตอบแทนตลาดหุ้นถ้ามอง 10 ปี จะ 10% เศษ ซึ่งกองนี้ไม่ได้หวังว่าจะขายได้เยอะๆ แต่อยากได้จำนวนลูกค้าเพิ่มสัก 1 แสนคน จึงได้ปรับเงินลงทุนขั้นตํ่าลงจาก 1,000 บาทลงมาพร้อมฟรีค่าธรรมเนียม เพราะไม่งั้นก็ถูกค่าธรรมเนียมกินไปหมด เมื่อไหร่จะรวย แต่เงินน้อยไม่ใช่ประเด็น ทุกคนสามารถลงทุนได้ เพียงแต่ขอให้มีวินัยในการลงทุน จะออมเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าวงเงินลงทุนรวมเกิน 1 ล้านบาท ถือว่า มีฐานแล้ว รวยแล้ว ก็จะเข้าระบบปกติ จะคิดค่าธรรมเนียม 0.7%

อย่างไรก็ตาม จุดเปราะบางของกองทุนไทยและตลาดหุ้นไทย คือ ฐานลูกค้าขยายไม่มาก ประเทศไทยขณะนี้มี 70 ล้านคน มีบัญชีหลักทรัพย์ไม่ถึง 3 ล้านคน ถ้าเราเปลี่ยนความคิดว่า คุณทำงานอีก 5 ปีจะซื้อบ้าน วันนี้จะต้องเริ่มออมแล้ว และถ้าประเทศไทยไม่ล่มสลาย ตลาดหลักทรัพย์ควรจะขึ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปีหน้า จะขึ้นไปถึง 2000 จุดด้วยซํ้า และมองตลาดในภูมิภาคนี้มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20%

“ผมเริ่มทำงานที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ฯมาตั้งแต่ปี 2538 ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงที่แย่ที่สุด มีวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 จนถึงปี 2542 ผมเป็นผู้จัดการกองทุนในช่วงที่ลูกค้าแย่ที่สุด ผมจึงเข้าใจลูกค้าว่า เพราะอะไรเขาถึงกลัว จากนั้นออกจากไทยพาณิชย์ไปอยู่ธนาคาร กรุงเทพในช่วงปี 2543-2547 และไปทำงานที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ในปี 2548-2550 และไปอยู่ที่บริษัทประกันชีวิต เอไอเอฯในช่วงปี 2551-2554 ผมเปลี่ยนที่ทำงาน แต่ไม่เคยเปลี่ยนความเป็นมืออาชีพ ผมไม่ใช่นักการธนาคาร บริหารสาขาไม่เป็นแต่นี่คือสิ่งที่ผมทำกองทุนบำนาญ บริหารกองทุน ผมเข้าใจดีว่า ลักษณะของลูกค้าไม่เหมือนกัน ผมเป็นคนบุกเบิกการลงทุนในต่างประเทศของ กบข. จนปัจจุบัน เขามีการลงทุนในต่างประเทศ 25%”

ขณะนี้บลจ.ไทยพาณิชย์ฯ พร้อมที่จะก้าวสู่ธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง(Wealth Management) เพราะแข็งแรงขึ้นมาก เพราะเป็นบลจ.ที่บริหารสินทรัพย์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 บริหารเงินให้มูลนิธิ มหาวิทยาลัย บริษัทประกัน ซึ่งผลงานใน 3 ปี ที่ผ่านมา ติดอันดับต้นๆ เป็นบลจ.ที่มีกองทุน 5 ดาว กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ก็ติด 5 ดาว โดยเฉพาะกองที่ลงต่างประเทศ เชื่อว่า เราดีที่สุด

MP19-3426-A

“การที่จะทำ Wealth Management ได้ดี ต้องมีฐานข้อมูลเยอะ ซึ่งบลจ.จะเป็นคนรวบรวมฐานลูกค้าไว้ให้ ซึ่งเราเป็นบลจ.อันดับ 1 ไม่ได้มีความลำบากเรื่องการอยู่รอด เพราะมีขนาดสินทรัพย์ถึง 1.5 ล้านล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 2 ล้านล้านบาท เงินของเราเกือบ 40% เป็นเงินที่อยู่กับเราระยะยาว ขณะที่สัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ (cost to income ratio) ของบลจ.อยู่ที่ 28% แต่ของเราเกือบตํ่าสุด ซึ่งระบบอยู่ที่ 20%ต้น ซึ่งในภาพของกลุ่มไทยพาณิชย์ เราจะบริการรายย่อย และทำตัวให้ผอม กำไรของเราไม่ควรจะล้น มันควรจะเป็นกำไรที่พอดี เพราะกำไรของเราก็คือเงินออมของชาวบ้าน”

หน้า 19 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,426 ระหว่างวันที่ 13-15 ธันวาคม 2561 595959859-6-503x60