'ทุเรียน' ลดเสี่ยงจีน! เบนเป้ารุกอินเดีย

ไทยผวาสงคราม 'ทุเรียน' หลังมาเลย์ประกาศขยายพื้นที่ปลูกครั้งใหญ่ ดันส่งออกไปจีนเพิ่ม เวียดนาม กัมพูชา อินโดฯ ดาหน้าเร่งเครื่องตาม จันท์-ชุมพร-ระยอง จี้รัฐเร่งยุทธศาสตร์เชิงรุก ดันขยายตลาดอินเดีย 1.4 พันล้านคน ลดเสี่ยงจีน

'ทุเรียน' ราชาแห่งผลไม้ ที่ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกอันดับ 1 ของโลก กำลังเผชิญความท้าทาย หลังรัฐบาลมาเลเซียประกาศจะส่งเสริมให้เกษตรกรขยายปลูกทุเรียนอย่างขนานใหญ่ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกไปจีน เล็งเป้าหมายขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 50% หรือจากระดับ 14,600 ตัน ในปีนี้ เป็น 22,061 ตัน ภายในปี 2030 (2573) นั้น




เตือนเร่งปรับตัว อย่าประมาท
นายจอมศักดิ์ ภูติรัตน์ ประธานหอการค้าจังหวัดจันทบุรี แหล่งปลูกทุเรียนอันดับ 1 ของประเทศ เผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า คำประกาศของมาเลเซีย แม้จะยังไม่น่ากลัวสำหรับไทย แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะในอนาคตจะทำให้ไทยมีคู่แข่งขันส่งออกทุเรียนไปจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุด เพิ่มขึ้น และการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้น สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของทุเรียนไทย คือ ต้องเร่งทำยุทธศาสตร์เชิงรุกในการส่งเสริมขยายพื้นที่ปลูกทุเรียนที่ขายได้ราคาดี ทดแทนสินค้าเกษตรที่มีราคาตกต่ำ เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่ที่เหมาะสมและมีแหล่งน้ำ โดยชี้นำปลูกทุเรียนในสายพันธุ์ที่ให้ราคาสูง เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

"ณ ปัจจุบัน พื้นที่ปลูกทุเรียนของไทยขยายเพิ่มขึ้นทุกปี จากช่วง 4-5 ปี ทุเรียนขายได้ราคาดี ปีนี้คาดผลผลิตทุเรียนทั่วประเทศจะมีประมาณ 9 แสนตัน สัดส่วน 80% เป็นการส่งออกมีตลาดใหญ่ที่จีน เวียดนาม ฮ่องกง ตามลำดับ ในปีนี้จันทบุรีจะมีผลผลิตราว 4 แสนตัน ระยอง 8-9 หมื่นตัน ตราด 4-5 หมื่นตัน แค่ 3 จังหวัดนี้ ก็เกินครึ่งของผลผลิตทั่วประเทศแล้ว จากที่ผ่านมา ในภาคตะวันออกได้โค่นต้นยางหันมาปลูกทุเรียนจำนวนมาก กรณีของมาเลเซียที่ประกาศที่จะขยายการปลูกทุเรียนและเพิ่มส่งออกไปจีนยังไม่น่ากลัว แต่เราก็ไม่ควรประมาท"




ขณะเดียวกันที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การทำวิจัยและพัฒนา (อาร์แอนด์ดี) ในการแปรรูป หรือ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุเรียนไทย เพื่อลดผลกระทบการแข่งขันส่งออกทุเรียนสดที่จะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต การส่งเสริมการทำตลาดออนไลน์และออฟไลน์ให้เกษตรกรก้าวทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ และที่สำคัญ คือ กระทรวงพาณิชย์ต้องเร่งขยายการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดที่มีศักยภาพ แทนที่จะพึ่งตลาดจีนเป็นหลัก ทำให้มีความเสี่ยงในอนาคต เช่น ขยายไปตลาดอินเดียที่มีประชากรกว่า 1,200 ล้านคน รวมถึงตลาดญี่ปุ่น เกาหลี ตะวันออกกลาง และยุโรป ที่เริ่มนิยมบริโภคทุเรียนไทย




เพื่อนบ้านดาหน้าเพิ่มผลิต
สอดคล้องกับ นายนพดล ตั้งทรงเจริญ ประธานหอการค้าจังหวัดระยอง (แหล่งปลูกทุเรียนอันดับ 3 ของประเทศ) ที่กล่าวว่า ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า ไทยจะมีคู่แข่งทุเรียนมากขึ้น ไม่ใช่มีแค่มาเลเซีย แต่ยังมีเวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ที่กำลังเร่งขยายพื้นที่ปลูก รวมถึงจีนก็เริ่มทดลองปลูก ซึ่งจะทำให้ผลผลิตทุเรียนโลกเพิ่มขึ้น ราคาอาจปรับตัวลดลงคล้ายกับสินค้ายางพารา เพราะทุเรียนไทยเหลือบริโภคในประเทศและพึ่งพาส่งออกเป็นหลัก

"สิ่งที่ทุเรียนไทยต้องเร่งดำเนินการ คือ เรื่องคุณภาพ มาตรฐาน และเรื่องรสชาติให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจ การแปรรูปและพัฒนาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น เป็นอาหาร เป็นยา เป็นอาหารเสริม หรือ เสริมความงามได้หรือไม่ และการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ ๆ ให้ดีขึ้น การรุกเข้าสู่ตลาดออนไลน์ ซึ่งนอกจากพึ่ง Tmall ของอาลีบาบาแล้ว ก็ต้องพัฒนาให้เกษตรกรของไทยสามารถค้าออนไลน์ทุเรียนได้เอง"




ขณะที่ นายสุพงศ์ เอื้ออารี ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร แหล่งปลูกทุเรียนอันดับ 2 กล่าวว่า หากมาเลเซียมีการปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีชื่อเสียงของไทย จะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะเป็นพันธุ์ที่ชาวจีนนิยมบริโภคมากสุด อย่างไรก็ดี จากราคาทุเรียนที่ดีในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ชาวชุมพรได้โค่นสวนยาง สวนปาล์ม มาปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ปีนี้คาดจะมีพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 แสนไร่ จากปี 2558 อยู่ที่ 1.2 แสนไร่

"ทุเรียนของไทยปีนี้ราคาดี จากความต้องการของตลาดสูง ขณะที่ ผลผลิตทุเรียนของแต่ละจังหวัดมีหลายรุ่น ไม่ออกมาชนกันมาก ในส่วนของชุมพร ทุเรียนหมอนทองปีนี้ ราคาหน้าสวนช่วง ก.ค. ถึง ส.ค. ที่ผลผลิตออกมากที่สุด ราคาเฉลี่ยที่ 70-80 บาทต่อกิโลกรัม ช่วงนี้ผลผลิตน้อยได้ราคา 140 บาทต่อกิโลกรัม ถือเป็นระดับราคาที่ดี ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทุเรียนส่วนใหญ่ของจังหวัดจะส่งออกไปจีน"


……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,423 วันที่ 2 - 5 ธ.ค. 2561 หน้า 01+15

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
● "ปิดทองหลังพระ" อนุมัติ 50 ล้าน!! ส่งเสริมการผลิต 'ทุเรียน' 3 จังหวัดชายแดนใต้
● สศก. ฟันธง! ปีทอง 'ทุเรียน' แห่ปลูกเพิ่มขึ้น