ประเด็น
"นิสสัน ลีฟ" รถพลังไฟฟ้า
"อีวี" ที่ตั้งราคาขาย 1,990,000 บาท หลายคนบอกเป็นราคาที่สูงไป สำหรับตัวผมเองที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของนิสสันก็มองว่าสูงไปจริง ๆ
เรามาแยกมองกันทีละประเด็นนะครับ อย่างที่ผมเคยบอกไปในงานเขียนที่ผ่าน ๆ มา
"นิสสัน ลีฟ" ถ้านำเข้ามาขายในไทยจะเสียภาษีนำเข้า 20% ภายใต้กรอบของเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น JTEPA ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำกว่าปกติ เพราะรถเครื่องยนต์ทั่วไป (ICE - Internal Combustion Engine) จะโดนภาษีนำเข้า 80% (แต่ตัวเลขนี้จะเป็น 0% ทันที ถ้านิสสันยืนยันกับรัฐบาลว่า มีแผนลงทุนประกอบ อีวี รุ่นนี้ในไทย)
จากนั้นเมื่อนำรถเข้ามาแล้ว ลีฟจะโดนภาษีสรรพสามิตอีก 8% ซึ่งเป็นอัตราของรถอีวีและรถไฮบริดที่ปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร แต่ถ้าประกอบในประเทศจะเสียภาษีสรรพสามิตเพียง 2% ต่ำกว่า
"โตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด" ที่เสียอยู่ 4%ในตอนนี้เสียอีก
[caption id="attachment_356710" align="aligncenter" width="503"]
(ซ้าย) ยูตากะ ซานาดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทนิสสัน มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด (ขวา) นายอันตวน บาร์เตส ประธาน นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย[/caption]
นอกเหนือจากภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตแล้ว ลีฟยังจะต้องเจอ VAT อีก 7% และภาษีมหาดไทยอีก 10% (จากภาษีสรรพสามิต)
ทั้งหมดนี้เป็นโครงสร้างภาษีที่ลีฟต้องโดนเหมือนรถหลายรุ่นหลายคัน แต่ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่า
"นิสสัน ลีฟ" ได้สิทธิ์ดีกว่ารถยนต์เครื่องยนต์ปกติ ทั้งภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต
จริงอยู่ที่ภาษีสรรพสามิตไม่ได้ต่ำที่สุด เพราะยังเป็นการนำเข้า แต่ก็ต่ำกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป (อีโคคาร์ว่าแน่ ๆ ยังโดน 12-17% และรถเก๋งทั่ว ๆ ไปต้องโดน 20% ขึ้นไป ตามการปล่อยไอเสีย)
ดังนั้น การด่ารัฐบาลว่า ไม่สนับสนุนทางด้านภาษี ผมว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมนัก
แน่นอน ถ้ารัฐบาลอยากให้รถประเภทนี้เกิดจริงต้องสนับสนุนในด้านอื่น ๆ อีกหลายมิติ (ปัจจุบันกำลังทำอยู่) เพียงแต่รัฐบาลย้ำว่า ถ้าคุณอยากได้สิทธิประโยชน์เต็มเพดาน ต้องมาประกอบในประเทศเท่านั้น (เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อไป) ซึ่งค่ายรถจะได้ทั้งภาษีสรรพสามิตต่ำและได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ประจำปี คิดเป็นมูลค่าพันล้านบาทต่อปี
อีกประเด็นที่ผมตั้งข้อสังเกต คือ ราคารถญี่ปุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไป เมื่อนำเข้ามาขายไทยและโดนภาษีเต็มพิกัดทุกตัว (เช่น ภาษีนำเข้า 80%) ราคาขายจริงในไทยก็คูณสามจากราคาขายปลีกที่ญี่ปุ่นได้ ซึ่งเป็นหลักคร่าว ๆ ที่คำนวณกันมานานแล้ว
แต่ราคาลีฟที่ขายในญี่ปุ่นเมื่อแปลงเป็นเงินไทยแล้ว คือ 1 ล้านบาท ดังนั้น ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนเลย เมื่อนำเข้ามาไทยก็ควรจะขายราคา 3 ล้านบาท
ด้วยสิทธิพิเศษด้านภาษีอย่างน้อย 2 ตัว คือ ภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษ ทำให้ราคาต่ำลงและนิสสัน เลือกมาเคาะที่ 1.99 ล้านบาท
"นิสสัน ลีฟ" ได้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ดีกว่ารถเครื่องยนต์ปกติมากมายหลายเท่า แต่ถามว่า ตั้งราคาขายต่ำกว่านี้ได้ไหม ผมว่าได้ เพียงแต่ นี่คือ นโยบายการตั้งราคาเพื่อทำธุรกิจ
ถ้าตั้งราคาขาย 1.5-1.6 ล้านบาท ผมเชื่อว่าคนธรรมดาอย่างผม หรือ คนทั่วไปที่ยังทำงานกันหัวหกก้นขวิด ต่อให้มีกำลังซื้อราคานี้ ก็ยังไม่เลือก
"ลีฟ" เพราะจะตั้งธงว่า ซื้อรถเครื่องยนต์เดิม ๆ ราคาถูกกว่า แล้วเอาเงินที่เหลือไปเติมน้ำมันได้สบายหลายปี หรือ คิดว่าเพิ่มเงินซื้อรถรุ่นอื่น ๆ ที่เท่กว่า และไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทางการวิ่งของรถพลังไฟฟ้า ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่นิสสันอยากขาย
ดังนั้น การตั้งราคาเกือบ 2 ล้านบาท ได้กำไรต่อคันมากกว่าแน่ ๆ และมุ่งไปยังตลาดที่สูงกว่า หวังกลุ่มคนที่ซื้อใช้เพื่อเป็นรถคันที่ 2, 3 ของบ้าน คนที่พอมีศักยภาพด้านการเงิน แล้วชื่นชอบในเทคโนโลยี คนที่ขับเบนซ์ BMW ปอร์เช่ อยู่แล้ว ซื้ออีกคันเอาไว้ขับสบาย ๆ ใครเห็นก็ว่าดูดีมีฐานะ ได้ภาพลักษณ์ (เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่า ลีฟเป็นรถราคาสูง และไม่กินน้ำมัน ไม่ปล่อยมลพิษ)
ค่ายรถเขาค้าขายต้องทำกำไร แล้วเขาก็รู้ว่าเขาต้องขายใครครับ
อ่อ ผมขอเพิ่มเติมไว้อีกนิด จีนกับไทยก็ทำข้อตกลงเรื่องเขตการค้าเสรีไว้เช่นกัน และหนึ่งในสินค้าที่นำเข้ามาขายในไทยโดยไม่เสียภาษีนำเข้า หรือ เป็น 0% ทันทีวันนี้เลย คือ รถพลังไฟฟ้า
"อีวี" ... รอดูเกมใหม่ กระดานใหญ่ที่น่ากลัวกว่า
โดย กรกิต กสิคุณ