"ร.อ.ธรรมนัส" ซบ พปชร. ลั่น! อยากเห็นบ้านเมืองก้าวข้ามความขัดแย้ง

18 พ.ย. 2561 | 06:26 น.
"ผู้กองมนัส" ซบ พปชร. เปิดใจอยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้า ก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่ใช่ประชาธิปไตยข้างถนน แย้มลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นักธุรกิจและอดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้เข้าร่วมประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่โรงแรมแชงกรี-ล่า วันที่ 18 พ.ย. 2561 และเปิดเผยถึงเหตุผลในการเข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ว่า เนื่องจากต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าได้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยข้างถนน แบบนั้นไม่ทำบ้านเมืองเดินไปไหนได้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้สมัคร ส.ส.พะเยา ขณะนี้มีตัวผู้สมัครครบทั้งหมดแล้ว ส่วนตัวนั้นผู้ใหญ่จะให้อยู่ตรงไหนก็คงจะมีการพิจารณา แต่คาดว่าจะได้ลง ส.ส. ในแบบบัญชีรายชื่อ

สำหรับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิธรรมนัสพรหมเผ่าเพื่อการกุศล ปัจจุบันมีภรรยาเป็นนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.พะเยา เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 25 และจบนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ รุ่นที่ 36 รุ่นเดียวกันกับ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ เป็นนายทหารได้ไม่นาน ออกจากราชการปี 2542 ก็ผันตัวเองมาทำธุรกิจรักษาความปลอดภัย ชื่อ "บริษัท ธรรมนัส การ์ด" ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่ดูแลสนามบินสุวรรณภูมิ


ธรรมนัส พรหมเผ่า2

ร.อ.ธรรมนัส เคยแสดงทัศนะทางการเมืองไว้อย่างน่าสนใจว่า การเมืองระดับท้องถิ่น การเมืองระดับชาติ การฟอร์มตัวของการเมืองยุคใหม่ที่จะต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยทั้งชาติ

ร.อ.ธรรมนัส ได้มองย้อนการเมืองในอดีตที่มีการรัฐประหารในปี 2549 ถึงการเมืองในปัจจุบัน ว่า "การเมืองของบ้านเราในช่วงระยะเวลาสิบปี ตั้งแต่ปฏิวัติครั้งปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ปี 2561 ร่วม 12 ปี การเมืองบ้านเราอยู่กับความแตกแยก คนไทยแบ่งกันเป็นก๊ก เป็นเหล่า เล่นกีฬาสีกัน ไม่ว่าจะกลุ่มสีแดง สีเหลือง หรือ สีอะไรก็ตาม ซึ่งทำให้ประเทศชาติ หรือ บ้านเมืองเรา ถอยหลังในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง

เสาหลักของบ้านเมืองเรา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 สถาบัน คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ค้ำจุนและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของคนไทยทุกคน ถูกทำให้ต้องมัวหมองด้วยคนไทยด้วยกัน


ธรรมนัส พรหมเผ่า3

เรากำลังเจาะเวลาย้อนไปหาอดีตสมัยที่เราเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นเหตุผลหนึ่งเกิดจากคนไทยขาดความรัก ความสามัคคี ดังนั้น สาเหตุที่ทำให้คนไทยเราต้องจับอาวุธมาห้ำหั่นกันเองมาจากเรื่องของการเมืองทั้งนั้น การเมืองโดยผู้นำการเมือง คงไม่ต้องระบุว่าเป็นพรรคไหน สีไหน ซึ่งสังคมก็รู้อยู่แล้วว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้ทำให้บ้านเมืองเกิดความแตกแยก ขาดความรัก ความสมานสามัคคีกัน จนทำให้เราต้องใช้พื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครเป็นสมรภูมิรบกัน ห้ำหั่นกัน คนไทยหลายชีวิตต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น มีคนไทยที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเอาชีวิตไปจบไว้ที่นั่น หรือแม้กระทั่งมีนักต่อสู้ประชาธิปไตยหลาย ๆ ท่านต้องไปจบชีวิตที่นั่น และอีกหลายท่านไปจบชีวิตในห้องขัง

คิดว่าถึงเวลาแล้วที่บ้านเมืองเราจะต้องเดินหน้า เราเลิกทะเลาะกัน การเมืองไม่ควรจะมีสีต่าง ๆ ธงชาติไทยมีสามสีที่สง่างาม เสาหลักเราทั้ง 3 สถาบัน คือ เสาหลักที่ค้ำบ้านค้ำเมืองให้เดินต่อไปได้"

ร.อ.ธรรมนัส ชี้ว่าการเมืองศตวรรษใหม่ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง "การเมืองในศตวรรษใหม่ในทัศนคติของผม เป็นสิ่งที่ควรก้าวข้ามความขัดแย้ง ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าได้ หลีกเลี่ยงจากการปะทะ หลีกเลี่ยงจากความแตกแยก เราแตกแยกกันแล้ว เกิดอะไรขึ้น ได้อะไรหรือไม่ ไม่มีเลยครับ พี่น้องประชาชนยังทุกข์ยาก ลำบาก เหมือนเดิม นักธุรกิจระดับ SME ล้มหายจากวงการธุรกิจกันหมด มีพี่น้องหลายคนที่อพยพจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง จากจังหวัดของตัวเอง ไปทำมาหากิน ทำธุรกิจ ที่กรุงเทพมหานคร ในระดับ SME ก็ดี หรือ ระดับกลาง ระดับใหญ่ เสียหายกันหมด ต้องกลับมาทำอาชีพเดิมที่บ้าน คือ เกษตรกร ซึ่งผมไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้น"

ติดตามฐาน